มะเร็งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย ร้อยละ ๕ ของมะเร็งที่พบทั้งหมด คือ มะเร็งผิวหนัง ส่วนมากจะพบในผู้ที่มีอายุ ๔๐ ปีขึ้นไป และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง มีสาเหตุสำคัญมาจากการที่ผิวหนังได้รับแสงแดดหรือแสงอุลตร้าไวโอเล็ต (ยูวี) เป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งการป้องกันมะเร็งผิวหนังสามารถทำได้โดยการสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดและหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา ๑๐.๐๐ – ๑๕.๐๐ น. ซึ่งเป็นช่วงที่มีรังสียูวีสูงสุด
รศ.ดร. นันทยา ยานุเมศ วิทยาลัยปิโตรเลียมและปิโตรเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะผู้วิจัยได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาผ้าฝ้ายป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต เพื่อพัฒนาเทคนิคใหม่ในการผลิตผ้าฝ้ายที่สามารถกันรังสียูวีได้ครบทุกช่วงความยาวคลื่นที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ โดยใช้กระบวนการแอดไมเซลาพอลิเมอร์ไรเซชั่นในการเคลือบ ทำให้ผ้ามีสัมผัสที่นุ่มและระบายอากาศได้ดี และสามารถพัฒนาไปถึงขั้นผลิตได้จริงในเชิงพาณิชย์ ผลงานวิจัยดังกล่าวได้รับการยกย่องจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ให้เป็น ๑ ใน ๒๔ ผลงานวิจัยดีเด่นของสกว. ประจำปี ๒๕๕๑
รศ.ดร. นันทยา กล่าวว่า ผ้าทั่วไปที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นมีสมบัติในการป้องกันรังสียูวีต่ำมาก โดยวัดค่าได้ประมาณ UPF 4 จากมาตรฐานสากลที่ได้กำหนดสมบัติในการป้องกันรังสียูวีของผ้าไว้ ๓ ระดับ ได้แก่ UPF 15 - 24 อยู่ในระดับดี UPF 25 - 39 ระดับดีมาก และ UPF 40 ขึ้นไป เป็นระดับดีเยี่ยม โดยค่าของสมบัติดังกล่าวจะมาจากความหนาและแน่นของเส้นด้ายที่ขัดกัน ส่วนตัว เส้นใยจะไม่มีสมบัติในการดูดกลืนรังสียูวี จึงมีการคิดค้นผ้ากันรังสียูวีและมีวางขายอยู่ในท้องตลาดทั่วไป แต่ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากนัก เนื่องจากเทคนิคการเคลือบสารกันรังสียูวียังไม่มีการใส่สารที่จะช่วยยึดสารกันรังสียูวีให้ติดกับผ้าอย่างคงทนถาวร เมื่อซักล้างไประยะหนึ่ง สารจะค่อยๆ หลุดออกไป โครงการวิจัยนี้จึงได้พัฒนาเทคนิคการผลิตผ้าฝ้ายซึ่งเป็นผ้าส่วนใหญ่ที่คนนิยมใช้ให้สามารถป้องกันรังสียูวีได้อย่างประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รศ.ดร. นันทยา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จุดเด่นของนวัตกรรมนี้มีอยู่ ๒ ด้าน ได้แก่ เทคนิคการเคลือบแบบใหม่ที่ใช้กระบวนการแอดไมเซล่าพอลิเมอไรเซชั่น ทำให้สารกันรังสียูวีเกิดปฏิกิริยากลายเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ สามารถติดกับเนื้อผ้าได้อย่างคงทน และการใช้สารกันรังสียูวีชนิดดูดกลืนรังสีมากกว่า ๑ ชนิด ต่างจากผ้ากันรังสียูวีทั่วไปที่ใช้สารเพียงตัวเดียว เพราะคลื่นรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์มีความยาวคลื่นครอบคลุมตั้งแต่ ๒๒๐ – ๓๕๐ นาโนเมตร แต่สารกันรังสีแต่ละตัวจะมีความสามารถในการดูดกลืนรังสียูวีเพียงบางช่วงคลื่นเท่านั้น จึงต้องใช้สารกันรังสี ยูวี ๒ ตัวที่ดูดกลืนรังสีในช่วงคลื่นที่แตกต่างกัน ทำให้ผ้าฝ้ายกันรังสียูวีดังกล่าวมีสมบัติในการป้องกันรังสียูวีในระดับดีเยี่ยมสูงถึง UPF 97 และสามารถดูดกลืนได้ครบตลอดช่วงคลื่นที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ นอกจากนี้ความบางของฟิล์มสารกันรังสียูวีที่จะมีความหนาไม่เกิน ๑๐ นาโนเมตร ยังช่วยให้ผ้ายังคงนุ่มต่อการสัมผัสและระบายอากาศได้ดีไม่ต่างจากผ้าทั่วไปที่ไม่เคลือบสาร และการใส่สารลดแรงตึงผิวก็ยังช่วยให้ฟิล์มเกาะติดกับเนื้อผ้าได้อย่างคงทน โดยจากการทดสอบพบว่าสามารถซักผ้าที่อุณหภูมิห้องได้หลายสิบครั้งโดยสารกันรังสียูวีไม่หลุดลอก ในส่วนของการผลิตก็ไม่มีขั้นตอนยุ่งยากและไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่ เพียงแค่ใส่น้ำ ผ้า สารลดแรงตึงผิว สารกันรังสียูวี และสารช่วยเร่งปฏิกิริยาเข้าไปในเครื่องย้อมผ้าสำเร็จรูปทั่วไป ปล่อยให้ทำปฏิกิริยาที่อุณหภูมิประมาณ ๗๐ องศาเซลเซียสเป็นเวลา ๒ ชั่วโมง จากนั้นจึงนำผ้ามาล้างให้สะอาดและตากแห้ง
ปัจจุบันผลงานวิจัยอยู่ในระดับห้องทดลอง แต่คาดว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมได้ไม่ยากและใช้เวลาไม่นาน ทั้งนี้เทคนิคการเคลือบดังกล่าวสามารถใช้ได้กับผ้าทุกชนิด และไม่มีข้อจำกัดในเรื่องรูปแบบของผ้า รวมทั้งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หลายรูปแบบ เช่น เคลือบสารกันไฟทำให้ผ้าฝ้ายไม่ติดไฟ และทำผ้าฝ้ายกันน้ำ เป็นต้น
ที่มาของข้อมูล : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย www.chula.ac.th |