สารไวไฟที่เราคุ้นเคยอย่างดีก็คือน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด หรืออะไรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำมัน จริง ๆ แล้วสารไวไฟมีอีกหลายชนิด ทั้งที่เป็นของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ของเหลวและก๊าซจะอันตรายมากกว่าของแข็ง เพราะของเหลวระเหยเป็นไอลอยไปถึงไหนก็พาไฟไปถึงนั่น ส่วนก๊าซนั้น ถ้าเกิดการลุกไหม้จะเกิดแรงระเบิดจากการขยายตัวอย่างรุนแรงตามมา และเกิดการลุกลามไปได้กว้าง
สิ่งที่ควรระวังโดยทั่วไปเมื่อมีการใช้สารไวไฟก็คือ แหล่งจุดไฟทั้งที่ดูออกหรือนึกไม่ถึง ตัวอย่างเช่น ผิวโลหะที่ร้อนอย่างเตาอบ หรือท่อน้ำร้อน ประกายไฟที่เกิดจากการตีเหล็ก การเสียดสี หรือสวิทซ์ไฟที่ชำรุด ประกายไฟจากหม้อไฟ บุหรี่ เหล่านี้เป็นตัวจุดให้สารไวไฟเกิดการลุกไหม้ได้ เพราะจะทำให้องค์ประกอบของการเกิดไฟครบ ๓ ข้อ คือ ความร้อนสูงพอ มีอากาศหรือออกซิเจน และมีเชื้อเพลิง อันได้แก่สารไวไฟหรือของไหม้ไฟอื่น ๆ
เมื่อใดที่ของเหลวไวไฟหกกระจาย มันจะระเหยเป็นไอ ไอระเหยนี้ลอยไปได้ไกล เมื่อผสมกับอากาศได้สัดส่วนพอเหมาะและลอยไปกระทบแหล่งจุดติดไฟอะไรก็ได้ มันจะลุกติดไฟลามกลับไปยังแหล่งต้นตอของเหลวนั้นได้ ในที่อากาศถ่ายเทมีลมโกรก ไอระเหยจะเจือจางเพราะลมช่วยพัดพาไป โอกาสลุกติดไฟจะน้อยลง สำหรับก๊าซจะยิ่งอันตรายกว่าของเหลวไวไฟ เพราะมันฟุ้งกระจายได้เร็ว และเกิดการระเบิดได้ ตัวอย่างของของเหลวไวไฟ เช่น แอลกอฮอล์ ทินเนอร์ เบนซิน แอสเทอร์ อีเทอร์ ฯลฯ ส่วนใหญ่ใช้เป็นตัวทำละลาย เพราะมันละลายไขมันได้ดี อาจมีใช้ในโรงงาน ใช้ในการผสมสี
สำหรับก๊าซไวไฟ ที่เรารู้จักกันดีก็คือก๊าซหุงต้ม เป็นสารจำพวกไฮโดรคาร์บอน ก๊าซไฮโดรเจนที่อัดลูกโป่งสวรรค์ และเป็นก๊าซที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างกรดกับโลหะ ก๊าซมีเธนที่เกิดจากการหมัก เช่น เกิดจากหลุมขยะ ท่อระบายน้ำ เป็นต้น ถ้าก๊าซไวไฟรั่ว ต้องรีบปิดหรือตัดต้นต่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลอีก และดูรอบ ๆ ว่ามีอะไรเป็นแหล่งติดไฟได้หรือไม่ ถ้ามีให้นำออกให้ห่าง พยายามเปิดประตูหน้าต่างให้ก๊าซเจือจางโดยเร็ว แล้วก็อย่าเล่นพิเรนเอาแหล่งติดไฟเข้าไปอีก เช่น สูบบุหรี่ หรือเปิดสวิตไฟ
สำหรับคนทั่วไปอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็คงต้องสังเกตเครื่องหมายไวไฟ และจำไว้ให้ดี เห็นที่ไหนจะได้ระวังตัวไว้ก่อนได้...
|