ผลการศึกษา 2 ชิ้นชี้ว่า การได้รับสารตะกั่วตั้งแต่เด็กหรือตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดาอาจทำให้สมองเสียหายถาวร และอาจถึงขั้นทำให้มีพฤติกรรมก่ออาชญากรรมรุนแรง
คิม ดีทริช และคณะจากมหาวิทยาลัยซินซินเนติในรัฐโอไฮโอของสหรัฐศึกษากับสตรีตั้งครรภ์ที่อาศัยอยู่ในย่านปนเปื้อนสารตะกั่วช่วงปี 2522-2527 และศึกษากับลูกที่คลอดออกมาตั้งแต่เกิดจนโต พบว่าระดับสารตะกั่วในเลือดของเด็ก 250 คน มีความสอดคล้องกับประวัติการถูกจับกุมในคดีก่ออาชญากรรม เด็กที่มีระดับสารตะกั่วสูงตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดาและช่วงแรกเกิดมีประวัติถูกจับกุมมากว่าเด็กที่มีสารตะกั่วต่ำ ส่วนเด็กที่โตแล้วพบว่า ร้อยละ 55 เคยถูกจับกุมอย่างน้อย 1 ครั้ง ร้อยละ 28 พัวพันกับยาเสพติด และร้อยละ 27 ละเมิดกฎหมายการขับขี่สถานหนัก
นักวิจัยระบุเพิ่มว่า เด็กที่อาศัยอยู่ในย่านใจกลางเมืองนอกจากจะมีรายได้น้อยแล้วยังเสี่ยงได้รับสารตะกั่วสูงทั้งที่มีการดำเนินมาตรการมากมายเพื่อลดปริมาณสารตะกั่วในสภาพแวดล้อม แหล่งกำเนิดสารตะกั่วใหญ่ที่สุดในสหรัฐขณะนี้คือสีผสมสารตะกั่ว นอกจากนี้ เด็กยังอาจได้รับสารตะกั่วจากมารดาที่สะสมสารตะกั่วในร่างกายมาตั้งแต่เด็ก ผลการศึกษานี้ชี้ชัดเจนว่า การเดินหน้าลดความเสี่ยงที่เด็กจะได้รับสารตะกั่วอาจเป็นวิธีที่ได้ผลในการลดอาชญากรรม
ด้าน ดร.คิม เคจิล และคณะที่ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลเด็กซินซินเนติ ใช้วิธีการสร้างภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอ็มอาร์ไอตรวจสมองของอาสาสมัครพบว่า พื้นที่ส่วนสีเทาในสมองหายไปอย่างน้อยร้อยละ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เรียกว่าแอนทีเรียซิงกูเรียคอร์เท็กซ์ เป็นส่วนที่ควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจ เรื่องนี้เกิดขึ้นกับอาสาสมัครชายมากกว่าหญิง นอกจากนี้ยังพบว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมองดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถาวรด้วย
ที่มาของข้อมูล : สำนักข่าว INN News ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 |