จากปัญหาทรัพยากรป่าไม้ในประเทศไทยที่มีสถิติลดลงอย่างน่าตกใจ โดยในปี พ.ศ.2549 ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่เพียงร้อยละ 30.92 หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั่วประเทศ ในขณะที่ปี พ.ศ.2504 ประเทศไทยเคยมีพื้นที่ป่าไม้มากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด
ตัวเลขปริมาณป่าที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดนี้ บ่งบอกว่า หากไม่รีบแก้ไขป้องกันปัญหา การบุกรุก ตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งดำเนินการโดยนายทุนกลุ่มผลประโยชน์ที่จ้องตักตวงผลประโยชน์จากป่าไม้ที่หลงเหลืออยู่ หรือการใช้ประโยชน์จากป่าของชาวบ้านที่เป็นไปอย่างไม่ถูกต้อง ขาดจิตสำนึกการเห็นคุณค่าของป่า ก็เชื่อแน่ว่าป่าคงจะหมดไปจากเมืองไทยในไม่ช้าอย่างแน่นอน
ที่ผ่านมากรมป่าไม้ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงได้แก้ปัญหาดังกล่าวนี้ ด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำการในพื้นที่ป่าทั่วประเทศ เพื่อป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า ในพื้นที่สีเขียวทั่วประเทศ รวมถึงป่าที่อยู่ใกล้ชิดกับเขตหมู่บ้านที่อยู่ในป่าเขา หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าป่าชุมชน แต่ก็ถูกกระแสต่อต้านจากชาวบ้านในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากวิธีการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายป้องปราม และปราบปรามชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกับป่าเกิดทัศนคติที่เป็นลบต่อเจ้าหน้าที่
ด้วยเหตุนี้ ทางกรมป่าไม้จึงก่อเกิดแนวคิดอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ใช้อำนาจรัฐจัดการ ก็หันมาให้ความสนใจในการส่งเสริมความเข้มแข็งในชุมชน และนำความเข้มแข็งของชุมชนระดับท้องถิ่นเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในการใช้แก้ปัญหาป่าถูกทำลาย หรือปัญหาสิ่งแวดล้อมละแวกนั้น
โครงการธนาคารฟืนในจังหวัดแม่ฮ่องสอน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงเล็งเห็นถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในจังหวัดแม่ฮ่องสอนจากการนำไม้จากป่า มาใช้ทำเป็นฟืนในครัวเรือนเนื่องจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีพื้นที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนอยู่ถึงร้อยละ 90 ของพื้นที่จังหวัด และมีสภาพเป็นป่าไม้เป็นส่วนใหญ่ ประชาชนส่วนใหญ่อยู่อาศัยในพื้นที่ห่างไกล คมนาคมขนส่งลำบาก มีรายได้น้อย จึงยังใช้ชีวิตอิงอยู่กับป่าไม้และธรรมชาติอยู่มาก การประกอบกิจวัตรในประจำวันยังคงอาศัยฟืนจากป่าไม้มาทำเป็นเชื้อเพลิง อีกทั้งในฤดูฝนนั้น จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ทำให้หาเก็บไม้แห้งมาเป็นฟืนไม่ได้จึงพบว่า ชาวบ้านมักจะตัดต้นไม้นำมาทำเป็นฟืนเพื่อมากักตุนในบ้านตัวเองตั้งแต่ปลายฤดูร้อน โดยการนำไม้มาทำฟืนในลักษณะนี้เป็นการใช้ป่าไม้อย่างไม่ยั่งยืน มีแต่จะลดปริมาณป่าไม้ลงไปเรื่อยๆ เป็นการทำลายป่าไม้ลงอย่างรวดเร็ว เทียบสัดส่วนแล้วจำนวนไม้ที่ใช้มาทำฟืนในแต่ละปี มีปริมาณมากกว่าที่ใช้สร้างบ้านเสียอีก
นายรังสรรค์ ขอผล หัวหน้าโครงการธนาคารฟืนอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดแม่ฮ่องสอนกล่าวว่า ทางโครงการเล็งเห็นถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวกับป่าไม้ของแม่ฮ่องสอนจึงนำแนวคิดเดียวกับการนำเงินไปฝากธนาคารมาใช้เพื่อลดปัญหาป่าไม้เสื่อมโทรมโดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2547
"ถ้าคิดว่าป่าเป็นธนาคาร เราก็เอาต้นไม้โตเร็วไปปลูกในพื้นที่ ถือว่าเป็นการเอาเงินไปฝาก แล้วป่ามีการเจริญเติบโตมากเท่าไหร่ เราก็นำส่วนที่เพิ่มขึ้นมานั้นมาใช้ เช่น ปลูกไป 5 ไร่ โตมา 3 ตารางเมตร เราก็เอาส่วน 3 ตารางเมตรนี้มาใช้เป็นฟืน เป็นเหมือนการกินดอกเบี้ยจากธนาคาร" หัวหน้าโครงการธนาคารฟืนกล่าว
แต่การจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวบ้าน ที่ดำเนินกันมานานจนกลายเป็นวัฒนธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย รังสรรค์กล่าวว่า การใช้ชีวิตของชาวบ้านที่ตัดไม้มาทำฟืนนั้นหยั่งรากลึกอยู่ในวิถีของเขามานานเป็นร้อยๆ ปีแล้ว การทำให้โครงการนี้สัมฤทธิ์ผล จำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากยังดำเนินวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ต่อไป รวมไปถึงสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง สร้างความร่วมมือภายในชุมชน ในการที่จะตรวจสอบดูแลป่าไม้ภายในชุมชนของตัวเองให้มีการบริหารจัดการตัวเองอย่างเป็นระบบ ในขณะเดียวกัน หน่วยงานของภาครัฐก็จะต้องคอยให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือในด้านปัจจัยต่างๆ เช่น องค์ความรู้ด้านงานวิจัย งบประมาณและกล้าไม้โตเร็วที่จะให้ชาวบ้านนำไปปลูก เป็นต้น
โดยในด้านการให้ความรู้นั้น ได้จัดอบรมให้กับชาวบ้าน โดยเลือกชุมชนที่มีการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งในระดับที่จะสามารถดำเนินการธนาคารฟืนได้ ให้ส่งตัวแทนมาหมู่บ้านละ 20 คน ปีละ 5 หมู่บ้าน รวม 100 คน เข้ารับการฝึกอบรมและศึกษาดูงานหลักสูตร "การผลิตและใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ" ซึ่งมีการให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์การใช้พลังงานในประเทศไทยว่า การใช้ทรัพยากรด้านพลังงานอย่างไม่ยั่งยืนนั้นจะส่งผลอย่างไร รวมไปถึงการให้แนวคิด หลักการ และแนวทางการดำเนินงานของโครงการธนาคารฟืนให้กับชาวบ้าน ไม่ได้เป็นไปในลักษณะยัดเยียด แต่เป็นการหยิบยื่นทางเลือกใหม่ๆ ให้
"สิ่งที่ยากที่สุดคือการไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขา แต่เดิมเขาจะเข้าไปในป่าใกล้บ้านเขาเพื่อตัดไม้มาทำฟืน เมื่อไม้ลดน้อยลงก็จะกินพื้นที่ป่าเข้าไปมากขึ้น เราจะต้องสร้างความรู้สึกให้เขาเห็นว่า การดำเนินชีวิตของเขาแบบนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อลูกหลานและชุมชนของเขา เราต้องตีแผ่ปัญหาให้เขาเห็น แก้ความเคยชินคุ้นเคยเดิมๆ เมื่อเขามองเห็นปัญหาและเกิดความรู้สึกว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเขาแล้ว เราก็จะชี้ให้เขาเห็นถึงทางเลือกใหม่ๆ และทางออกใหม่ๆ ให้กับเขา" นายรังสรรค์กล่าว
ทางเลือกที่ว่านั้น นอกจากจะนำแนวคิดธนาคารฟืนไปให้แล้ว ยังส่งเสริมให้ชาวบ้านเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากฟืนเป็นถ่าน ซึ่งให้ความร้อนสูงกว่า มีควันน้อยกว่า และยังเป็นการลดปริมาณการใช้ไม้จากป่าธรรมชาติมาเป็นเชื้อเพลิงได้อีกทางหนึ่ง โดยการจัดทำเตาอิฐของกรมป่าไม้ขนาด 2 ลูกบาศก์เมตร ให้หมู่บ้านละ 1 เตา และสอนให้ชาวบ้านทำเตาเผาถ่านจากถังเหล็กขนาด 200 ลิตร ทำให้สามารถใช้เศษไม้หรือวัสดุการเกษตรที่เหลือมาใช้ทำเป็นถ่านได้ ซึ่งตัวเตามีระบบดักจับตะกอนที่อยู่ในควันจากการเผาถ่านไม่ให้ปนเปื้อนในอากาศมาก ผลที่ได้จากตะกอนกลายมาเป็นน้ำส้มควันไม้ ที่เอาไปใช้ประโยชน์ในการเกษตรกรรมซึ่งเป็นอาชีพหลักได้อีกต่อ
นอกจากนี้ หากนำลูกไม้หรือผลไม้มาทำเป็นถ่าน ยังสามารถใช้เป็นถ่านดูดกลิ่นที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามโดยใช้เตาเผาถ่านขนาดเล็กที่ออกแบบประยุกต์จากถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร เพื่อใช้เผาถ่านในปริมาณครั้งละไม่มาก สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านได้อีกทางหนึ่ง นับเป็นแรงจูงใจให้ชาวบ้านหลายๆ หมู่บ้านในเมืองสามหมอกแห่งนี้เข้าร่วมโครงการ
อย่างไรก็ตาม คุณูปการที่มากกว่านั้นของโครงการนี้คือ การสร้างความรับรู้ให้กับชาวบ้านในชนบทของประเทศไทยได้มองเห็นถึงผลกระทบที่เขาสร้างให้กับสิ่งแวดล้อมของโลก และหันมาร่วมมือกันแก้ไขอย่างจริงจัง เป็นผลสะท้อนที่ได้ผ่านการสร้างความเข้าใจและความเข้มแข็งให้กับชุมชนจนสามารถดูแลตัวเองได้ ส่งผลให้เกิดจิตสาธารณะของชาวบ้านที่มองเห็นความสำคัญของป่า ร่วมรักษามรดกจากผืนดินสืบต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเขาและพวกเร
ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ประจำวันที่ 27 กรกฎาคม 2552 |