แม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งครองผืนน้ำในมหาสมุทรทั่วโลก และมีขนาดใหญ่โตไม่น้อยกว่าตึก 8 ชั้น แต่วาฬสีน้ำเงินเกือบต้องสูญพันธุ์ไปจากโลกสีน้ำเงินนี้ จากน้ำมือมนุษย์ที่ไล่ล่าอย่างหนักในช่วง 2 - 3 ศตวรรษที่ผ่านมา
วาฬสีน้ำเงิน (Blue Whale) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่สุด และอาจเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งอาศัยอยู่บนโลกนี้ แม้กระทั่งไดโนเสาร์ขนาดใหญ่ที่สุดซึ่งเคยครองแผ่นดินบนโลกยังมีขนาดเล็กกว่าวาฬชนิดนี้ เคยมีผู้พบเห็นวาฬสีน้ำเงินขนาดยาวถึง 33 เมตร หนัก 190 ตัน แต่โดยทั่วไปจะพบวาฬที่มีขนาดเล็กกว่านี้ โดยมีขนาดเฉลี่ย 25 - 26.2 เมตร หนัก 100 - 120 ตัน ข้อมูลจากเนชั่นนัลจีโอกราฟิก ระบุว่า เฉพาะลิ้นของวาฬสีน้ำเงินอย่างเดียวก็หนักเท่าๆ กับช้างตัวหนึ่ง ส่วนหัวใจมีขนาดพอๆ กับรถยนต์คันหนึ่งเลยทีเดียว
ในช่วงศตวรรษที่ 20 วาฬสีน้ำเงินถูกล่าจนเกือบจะสูญพันธุ์ กระทั่งช่วงกลางทศวรรษ 1960 ได้เริ่มมีการปกป้องวาฬชนิดนี้ และเร็วๆ นี้ มีการประมาณว่า เหลือวาฬสีน้ำเงินในซีกโลกใต้อยู่ประมาณ 2,300 ตัว อีกทั้งมีหลักฐานว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นปีละ 7% แต่ยังไม่มีการประมาณจำนวนวาฬชนิดนี้ที่ดีพอในบริเวณอื่นของโลก
ถึงอย่างนั้นก็ตาม บีบีซีนิวส์ ได้ระบุว่า มีหลักฐานประชากรวาฬสีน้ำเงินเพิ่มจำนวนขึ้นในแอตแลนติกเหนือ โดยก่อนที่จะเริ่มอุตสาหกรรมล่าวาฬ คาดว่ามีวาฬสีน้ำเงินในท้องทะเลราว 200,000 - 300,000 ตัว แต่เชื่อว่าในปัจจุบันน่าจะเหลือวาฬประมาณ 12,000 ตัว ซึ่งน้อยกว่า 1% ของจำนวนเดิมที่มีอยู่
ทำไมต้องล่าวาฬ ???
วาฬถูกล่าเพื่อเนื้อและน้ำมันเป็นหลัก โดยการล่าวาฬสามารถย้อนกลับไปได้ไกลถึง 3,000 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ ชาวอินนูอิตในกรีนแลนด์ล่าวาฬเพื่อยังชีพ ส่วนชาวญี่ปุ่นและนอร์เวย์ต่างมีวัฒนธรรมในการล่าวาฬ โดยการล่าวาฬเป็นอุตสาหกรรมนั้นเริ่มต้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และมีการล่าวาฬหนักขึ้นในช่วงศตววรษที่ 18 - 19 โดยในอดีตเมืองต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา และในยุโรปใช้น้ำมันจากวาฬเป็นเชื้อเพลิงในการจุดตะเกียงให้แสงสว่าง
จนกระทั่งในปีค.ศ. 1986 คณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬนานาชาติ (International Whaling Commission) หรือไอดับเบิลยูซี (IWC) ได้ห้ามการล่าวาฬเชิงพาณิชย์ และในปัจจุบันความต้องการน้ำมันจากวาฬลดลงมาก เหลือเพียงการล่าเพื่อเป็นอาหาร โดยปัจจุบันวาฬมิงก์ซึ่งเป็นวาฬขนาดเล็กถูกล่าเป็นจำนวนมากที่สุด
ไอดับเบิลยูซี (IWC) คณะกรรมการจัดสรรโควตาล่าวาฬ
คณะกรรมการควบคุมการล่าวาฬนานาชาติจัดตั้งขึ้นเมื่อ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1946 ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีเป้าหมายเพื่อการล่าวาฬที่เหมาะสมต่อจำนวนวาฬที่มีอยู่ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมล่าวาฬ ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 88 ประเทศ ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่นและนอร์เวย์ที่มีการล่าวาฬเป็นวัฒนธรรมด้วย
ภารกิจหลักของไอดับเบิลยูซี คือกำหนดจำนวนและตารางที่เหมาะสมในการล่าวาฬ ซึ่งการกำหนดนี้เพื่อคุ้มครองวาฬบางสปีชีส์ กำหนดพื้นที่เฉพาะให้วาฬได้หลบภัยจากการล่า จำกัดจำนวนและขนาดของวาฬที่จะถูกล่า วางเงื่อนไขสำหรับการเปิด - ปิดฤดูกาลล่า และห้ามล่าลูกวาฬและวาฬตัวเมียที่มีลูกอ่อน และผู้ล่าวาฬยังต้องรวบรวมรายงานการจับ รวมถึงสถิติและข้อมูลเชิงชีววิทยาให้แก่คณะกรรมการด้วย
สัตว์ใหญ่ที่กินเฉพาะสัตว์เล็ก
วาฬสีน้ำเงินเป็นวาฬกรองกิน (baleen whale) มีแผ่นกรองซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับเล็บที่เรียกว่า บาลีน (baleen) เชื่อมกับขากรรไกร และจัดเป็นสัตว์กินเนื้อ แต่เหยื่อของวาฬกลับเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดเล็กๆ เวลากินอาหารสัตว์น้ำขนาดยักษ์นี้จะกลืนน้ำปริมาณมหาศาลเพื่อกรองเอา กริลล์ (krill) สัตว์น้ำขนาดเล็กคล้ายกุ้งและกลืนกินเข้าไป
วาฬต้องดำน้ำลงไปล่ากริลล์ที่ความลึกประมาณ 100 เมตร และปกติจะดำน้ำนาน 20 นาที แต่มีบันทึกสูงสุดว่าดำได้นานถึง 36 นาที ทั้งนี้วาฬสีน้ำเงินที่โตเต็มวัยกินกริลล์วันหนึ่งได้มากถึง 4 ตัน
วาฬไม่ใช่... ปลา
เราคุ้นเคยกับการเรียกวาฬว่า ปลาวาฬ เช่นเดียวกับการเรียกโลมาว่า ปลาโลมา แต่สัตว์น้ำทั้งสองชนิดนั้นเป็นสัตว์เลือดอุ่นที่เลี้ยงลูกด้วยนม ต่างจาก ฉลาม ที่จัดเป็นปลาชนิดหนึ่ง ทั้งวาฬและโลมาเป็นสัตว์ในลำดับเซตาเซีย (Cetacea) เช่นเดียวกัน โดยวาฬจะหายใจได้เช่นเดียวกับคน และหายใจแต่ละครั้งสามารถดำน้ำได้นานถึง 20 นาที และวาฬยังพ่นน้ำออกจากช่องหายใจได้สูงถึง 9 เมตร
วาฬแรกเกิดหนักได้ถึง 3 ตัน และมีขนาดถึง 8 เมตร โดยในช่วงปีแรกวาฬตัวน้อย จะกินนมแม่อย่างเดียวมากถึงวันละ 91 กิโลกรัม ซึ่งวาฬมีอายุเฉลี่ยประมาณ 80 - 90 ปี โดยศัตรูของวาฬนอกจากมนุษย์แล้วยังมีปลาฉลามที่เป็นผู้ล่าอีกชนิดหนึ่ง นอกจากนี้ทุกๆ ปียังพบว่าวาฬบาดเจ็บจากการปะทะกับเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่อีกด้วย
นักท่องสมุทรส่งเสียงได้ไกล 1,600 กิโลเมตร
วาฬสีน้ำเงินอาศัยอยู่ทั่วไปในมหาสมุทรทั่วโลก โดยมักจะว่ายน้ำเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ปกติจะพบเพียงลำพังหรือไปเป็นคู่ ในช่วงหน้าร้อนวาฬสีน้ำเงินจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในน่านน้ำแถบขั้วโลก และจะอพยพสู่แถบศูนย์สูตรในช่วงที่ฤดูหนาวมาเยือน โดยวาฬสีน้ำเงินจะว่ายน้ำได้ไกล 8 กิโลเมตรในเวลา 1 ชั่วโมง แต่หากตื่นเต้นหรือตกใจวาฬสีน้ำเงินจะเร่งความเร็วได้ถึง 32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว วาฬสีน้ำเงินยังเป็นสัตว์ที่เสียงดังกังวานที่สุดในโลกอีกด้วย ซึ่งภายในสภาวะที่เหมาะสม วาฬสีน้ำเงินสามารถส่งเสียงถึงวาฬอีกตัวที่อยู่ไกล 1,600 กิโลเมตรได้ โดยจะส่งชุดเสียงเป็นคลื่นสั้น เสียงครวญครางหรือโหยหวนออกไป
ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าวาฬสีน้ำเงินไม่ได้ส่งเสียงเพื่อการสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่ใช้เพื่อนำทางใต้มหาสมุทรที่ลึกและอับแสงด้วย สถานภาพใกล้สูญพันธุ์ของวาฬสีน้ำเงินนั้น สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีสัตว์โลกใดรอดพ้นจากการคุกคามของมนุษย์ไปได้ แม้กระทั่งสัตว์ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ แต่ยังไม่สายเกินไปที่เราจะเพิ่มโอกาสให้เพื่อนร่วมโลกนี้ได้อยู่คู่กับมหาสมุทรต่อไป
ที่มาของข้อมูล : ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ประจำวันที่ 2 กรกฎาคม 2553 |