เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551 นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ ของออสเตรเลียยืนยันว่า ออสเตรเลียจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อยร้อยละ 5 ถึง 15 เมื่อเทียบกับก๊าซที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 2543 โดยแผนการนี้จะต้องทำให้สำเร็จก่อนปี 2563 หรือในอีก 12 ปีข้างหน้า เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาโลกร้อน
นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ บอกว่า ในฐานะที่ออสเตรเลียเป็นทวีปหนึ่งที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในโลก จึงไม่อาจเพิกเฉยและทนเห็นโลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
ผู้นำออสเตรเลียยังยืนยันเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าภาครัฐไม่มีมาตรการรับมือในเรื่องนี้ก็คาดว่า ออสเตรเลียจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 ระหว่างปี 2543 ถึง 2563 และที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดรัฐบาลออสเตรเลียไม่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากกว่านี้ นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ บอกว่า ที่ไม่ได้ตั้งเป้าให้สูงกว่านี้ เพราะต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจควบคู่กันไปด้วย ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 16 ธันวาคม 2551 กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต้องการให้ออสเตรเลียตั้งเป้าหมายไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ประเทศพัฒนาแล้ว ผู้ประท้วงที่นครซิดนีย์นำกระสอบทรายไปวางรอบกระทรวงเพื่อชี้ให้เห็นถึงภัยของระดับน้ำทะเลที่จะสูงขึ้นเพราะภาวะโลกร้อน ส่วนผู้ประท้วงที่นครเมลเบิร์นถือธงขาวเพื่อบอกว่ารัฐบาลยอมแพ้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
ด้านนายบ๊อบ บราวน์ หัวหน้าพรรคกรีนออสเตรเลีย กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าใจหายและน่ารังเกียจที่รัฐบาลนายเควิน รัดด์ไม่ทำหน้าที่เพื่ออนาคตของประเทศชาติ ขณะที่นางเพนนี หว่อง รัฐมนตรีกระทรวงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามรักษาสมดุลด้วยการดำเนินนโยบายที่เหมาะสม รัฐบาลจะลดการปล่อยก๊าซสูงสุดถึงร้อยละ 15 หากการเจรจาสหประชาชาติที่กรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์กในปลายปี 2552 สามารถบรรลุข้อตกลงใหม่ที่จะบังคับใช้หลังจากเป้าหมายแรกของพิธีสารเกียวโตครบกำหนดในปี 2555
ที่มาของข้อมูล : สำนักข่าวไทย ประจำวันที่ 16 ธันวาคม 2551 |