ข้อมูลเมื่อปี 2557 ที่ผ่านมา มีการสรุปสถานการณ์โรคมะเร็งของประเทศไทย พบว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงมากเป็นอันดับ 1 ของคนไทย และต่อเนื่องยาวนานมากว่า 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบอีกว่า คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกว่า 60,000 คนต่อปี ขณะที่มีรายงานการเสียชีวิตปีละเฉียด 8 ล้านคนทั่วโลก แถมล่าสุดองค์การอนามัยโลกยังคาดว่าอีก 21 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละ 24 ล้านคน!!!
สาเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็งนั้นส่วนใหญ่จะทราบกันดีว่ามาจากอาหารการกิน “กินอย่างไร... ก็จะได้สุขภาพอย่างนั้น” แต่การสวนกระแสของรัฐบาล คสช. ที่อนุญาตให้หน่วยงานที่รับผิดชอบต่ออายุนำเข้ายาฆ่าหญ้า (พาราควอท , ไกลโฟเซต) เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งสารสองตัวนี้มีอันตรายร้ายแรง ตกค้างยาวนาน ไม่ระเหยไปกับอากาศ สะสมอยู่ในน้ำและดิน ในปัจจุบันมีกว่า 40 ประเทศ ประกาศเลิกใช้และห้ามนำเข้า เพราะประเทศเหล่านั้นตระหนักดีว่าสารพิษจากยาฆ่าหญ้าทำร้ายประชาชนคนในประเทศของเขา
การใช้สาร พาราควอตและไกลโฟเสต ในประเทศไทยค่อนข้างแพร่หลาย และส่งผลกระทบต่อแหล่งเพาะปลูกรวมถึงผลิตผลภาคการเกษตร ที่ส่งต่อเป็นอาหารเลี้ยงคนในประเทศ โดยจะมีสารพิษของยาฆ่าหญ้าเหล่านี้ตกค้างปนเปื้อน ไปยังโต๊ะอาหารด้วย ทำให้สารพิษเหล่านี้ไปสู่ลูกหลานของเราโดยไม่ตั้งใจ ถ้าได้ติดตามข่าวสารจะทราบว่าเคยมีข่าวครึกโครมทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับการตรวจพบผลิตภัณฑ์น้ำดื่มที่มีสารเคมีจากยาฆ่าตกค้างปนเปื้อนอยู่ที่จังหวัดลำปาง เพราะแหล่งน้ำดิบที่นำมาใช้ปนเปื้อนไปด้วยสารพิษจากยาฆ่าหญ้า การที่ได้รับสารพิษเหล่านี้ติดต่อกันไปนานๆ จะก่อให้เกิดโรคพิการทางสมองหรือปัญญาอ่อน เด็กๆ มีพัฒนาการช้าลง ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง สะเก็ดเงิน สะเก็ดทอง อัมพฤต อัมพาต โรคไตเรื้อรัง ฯลฯ
การที่รัฐบาลอนุญาตให้มีการนำเข้าสารเคมียาฆ่าหญ้าสองชนิดนี้ นอกจากทำให้ประเทศไทยเสียเงินตราออกนอกประเทศเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทแล้ว ประชาชนคนไทยยังได้รับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้อีก จากการรับประทานผักผลไม้ที่มีการปนเปื้อนของสารพิษจากยาฆ่าหญ้า สะสมอยู่ตามดิน เทือกเขา แหล่งน้ำ ลำธารต่างๆ ที่เป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผักผลไม้ เนื่องเกษตรกรส่วนใหญ่นำไปใช้ยังป่าต้นน้ำ เช่น ตาก (อ. แม่สอด, อ. พบพระ) เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ (อ. หล่มสัก, อ. หล่มเก่า)
พิษจากยาฆ่าหญ้าของพาราควอตและไกลโฟเสต นั้นเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว... ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ จะไม่สามารถล้างท้องได้ จะทำลายอวัยวะภายในตับไตไส้พุงแบบกู่ไม่กลับ ไม่มีทางรักษาและปฐมพยาบาลได้ เมื่อตกสู่ผืนดินก็ทำให้ดินเสื่อมทราม ตกสู่แผ่นน้ำก็เสื่อมโทรมทำให้ กุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์น้ำต่างๆ กลายพันธุ์ สูญพันธุ์ ส่งผลต่อสภาพแวดล้อมให้เสียหาย จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตต่างๆในธรรมชาติล้มตาย....
แต่ก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด อะไรดลจิตดลใจให้รัฐบาลของท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจึงตัดสินใจให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปล่อยให้มีการต่ออายุและอนุญาตนำเข้าสารเคมีชนิดนี้กลับมาอีกได้ ทั้งๆ ที่ภาระงบประมาณการดูแลรักษาผู้ป่วยประชาชนคนไทยก็ไม่เพียงพอ แต่ละโรงพยาบาลต่างก็แบกรับต่อค่าใช้จ่ายกันอย่างหมิ่นเหม่ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องลำบากพี่ตูน บอดี้แสลมด์ ออกมาวิ่งหาเงินบริจาคช่วยเหลือซื้อเครื่องมือแพทย์แจกไปแต่ละโรงพยาบาล การเรียกร้องจากกลุ่มผู้คุ้มครองผู้บริโภค กลุ่ม THAI-PAN มูลนิธิชีววิถี ฯลฯ มีทั้งข้อมูลและงานวิจัยมารองรับเพื่อสื่อให้เห็นถึงโทษภัยและอันตราย แต่รัฐบาลเราก็ยังปล่อยให้สารพิษเหล่านี้กลับเข้ามาในบ้านเรา ส่งผลเสียกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและลูกหลานเราได้อีก
จะว่าไป...ใช่ว่าจะไม่มีทางเลือก....กลับกัน!!!...เรามีก็ทางเลือกเยอะแยะมากมาย ที่สามารถจะเลือกพบกับสิ่งที่ดีๆ ไม่ใช้สารพิษ ไม่ใช้สิ่งที่เป็นอันตราย....แต่รัฐบาลกลับบังคับให้เราต้องเลือกเผชิญกับความเสี่ยงจากสารพิษของ ”ไกลโฟเซท” และ “พาราควอท” ที่หลายประเทศไม่ต้องการ ฤานี่!!! คือชะตากรรมที่คนไทยต้องเจอ “ไม่มีสิทธิ์เลือก” แม้แต่การทำให้ลูกหลานและตนเองปลอดภัย
|