กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตั้งเป้าปีหน้าบังคับเลิกใช้สาร CFC ที่ทำลายบรรยากาศชั้นโอโซนได้หมด 100% ตามข้อกำหนดของพิธีสารมอนทรีออล พร้อมเตือนผู้ประกอบการเครื่องทำความเย็น หลังปี 2553 จะต้องเริ่มกระบวนการยกเลิกการใช้สาร HCFC ที่ปัจจุบันใช้ทดแทนสาร CFC กันอีก
นายสุดสาคร พุทโธ ผู้อำนวยการสำนักสนธิสัญญาและยุทธศาสตร์ กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงความคืบหน้าการดำเนินการลดและเลิกการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ภายใต้พิธีสารมอนทรีออลว่า จากปี 2545 ถึงปัจจุบันประเทศไทยสามารถลดการใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน (CFC) ได้แล้วถึง 95% เหลืออีกประมาณ 5% หรือคิดเป็นปริมาณ 1,200 ตัน ซึ่งภายในปี 2553 จะต้องลดและเลิกใช้ให้หมดได้ 100%
ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญาเวียนนา ว่าด้วยการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความตกลงในรูปแบบของสนธิสัญญาระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาการทำลายชั้นบรรยากาศ แรกเริ่มมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกทั้งสิ้น 28 ประเทศ มีการให้สัตยาบันที่เมืองเวียนนาในปี 2528 แต่เนื่องจากอนุสัญญาไม่ได้มีข้อกำหนดในการปฏิบัติ จึงได้จัดทำ "พิธีสารมอนทรีออล" ขึ้นเพื่อเป็นข้อกำหนดให้ประเทศสมาชิกดำเนินการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ปรากฏว่ามีประเทศที่ให้สัตยาบันเป็นภาคีสมาชิกพิธีสารมอนทรีออลทั้งหมด 190 ประเทศ ที่ต้องปฏิบัติการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนให้หมดสิ้นภายในปี 2553
ทั้งนี้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนจะใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ เครื่องทำความเย็น, เครื่องปรับอากาศ, กระป๋องสเปรย์และโฟม ซึ่งมีสารทั้งสิ้นหลักๆ 5 รายการ ได้แก่ สาร CFC-11, CFC-12, CFC-113, CFC-114 และCFC-115 สารทั้งหมดนี้ประเทศไทยไม่สามารถผลิตเองได้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ จีน และอินเดีย ตั้งแต่ปี 2546 ประเทศไทยได้มีการกำหนดปริมาณการนำเข้า สาร CFC ลดลงเรื่อยๆ จนถึงปี 2553 ที่จะไม่ยอมให้มีการนำเข้าอีก (ตามตาราง) แต่ให้นำเข้าสารประเภท HFC 134a หรือ HCFC ซึ่งเป็นสารทดแทน CFC
สำหรับการบังคับใช้กฎหมายภายในประเทศให้เป็นไปตามพันธกรณีของพิธีสารมอนทรีออลนั้น ประเทศไทยได้มีประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม กำหนดปริมาณการนำเข้าสาร CFC, ประกาศกระทรวงพาณิชย์ ห้ามนำเข้าตู้เย็น ตู้ทำน้ำเย็น ตู้แช่ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำความเย็นที่ใช้สาร CFC, กฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก กำหนดห้ามเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ใช้สาร CFC, การเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สาร CFC จาก 15% เป็น 30% และการนำเข้าสารทดแทน CFC ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหลังจากปี 2553 ที่ครบกำหนดการลดและเลิกใช้สาร CFC แล้ว ในการประชุมพิธีสารมอนทรีออลครั้งล่าสุดเมื่อปี 2550 ที่ประชุมได้มีมติให้ขยายผลการลดและเลิกใช้สาร HCFC ซึ่งปัจจุบันใช้ทดแทนสาร CFC ด้วย เนื่องจากมีการค้นพบว่า สาร HCFC ยังมีคุณสมบัติเป็นสารที่ยังทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนอยู่ แม้จะไม่มากเท่ากับ CFC ก็ตาม ดังนั้นที่ประชุมจึงตกลงให้กำหนดระยะเวลาการเลิกใช้สาร HCFC ให้เร็วขึ้นอีก 10 ปี จากเดิมที่กำหนดให้เลิกใช้ภายในปี 2583 เป็นปี 2573 ซึ่งตรงนี้ผู้ประกอบการไทยที่ผลิตสินค้าส่งออกก็ต้องตระหนักไว้ตั้งแต่วันนี้ว่า กรณีของสาร CFC ที่มีผลบังคับตั้งแต่ปี 2532 ต้องใช้เวลาเกือบ 20 ปี ดังนั้นหากมีการขยายผลยกเลิกใช้สารตัวใหม่ (HCFC) อีก ก็คงต้องใช้เวลาใกล้เคียงกัน
"ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าจะนำสารตัวใดมาทดแทนสาร HCFC อาจจะเป็นสารไฮโดรคาร์บอน หรือแอมโมเนีย ซึ่งก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่า แม้จะเป็นสารที่ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน แต่ก็เป็นสารที่ก่อให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมด้านอื่น ตรงนี้ก็คงต้องใช้เวลาในการพัฒนาปรับปรุงให้ประสิทธิภาพของการนำมาทดแทน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านอื่น ซึ่งผู้ประกอบการเครื่องทำความเย็นก็ควรจะเตรียมความพร้อมในการปรับตัวด้วย"
ทั้งนี้เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับพิธีสารมอนทรีออล, สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน, ผลกระทบจากการที่ชั้นบรรยากาศถูกทำลาย ให้กับผู้ประกอบการหรือผู้ที่มีความสนใจ ทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมจึงได้จัดกิจกรรมวันโอโซนสากลขึ้น ที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ โปรโมชั่นสแควร์ 1 ชั้น G ในวันที่ 13 กันยายน 2551 นี้
ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ประจำวันที่ 8 กันยายน 2551 |