ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เชิญชวนให้ใช้วัสดุธรรมชาติร่วมประเพณีลอยกระทง นักวิชาการเผยแม้โฟมจะนำกลับไปรีไซเคิลได้ แต่ต้องอาศัยการจัดเก็บที่ถูกต้อง พร้อมแนะข้อเตือนใจ กระทงโฟม 1 ใบ ใช้เวลาย่อยสลายมากกว่า 50 ปี
เวียนมาอีกครั้งกับประเพณีวันลอยกระทง ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย และในปีนี้ก็ตรงกับวันพุธที่ 12 พฤศจิกายนนี้ โดยกิจกรรมที่เป็นหัวใจหลักของประเพณีไทยนี้คือการนำ กระทง ที่ตกแต่งเป็นรูปดอกบัวบาน แล้วปักธูปปักเทียนนำมาลอยน้ำ เพื่อเป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำในการดื่มกินและใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลนานาชนิดลงในแม่น้ำ ลำคลอง โดยในสมัยโบราณกระทงที่นำมาลอยนั้นล้วนทำมาจากวัสดุธรรมชาติแทบทั้งสิ้น เช่น กระทงใบตอง แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มหันมาใช้กระทงที่ทำจากโฟม มีกลีบกระทงที่ทำจากกระดาษสีต่างๆ อัดเป็นจีบสวยงาม เนื่องจากน้ำหนักเบา หาง่าย และราคาไม่แพง
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ การกำจัดที่ยากและสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม หลายฝ่ายจึงได้หันมารณรงค์การใช้กระทงจากวัสดุธรรมชาติมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมาแม้ผลการเก็บกระทงของกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะเป็นที่น่ายินดีว่ามีกระทงที่ทำจากโฟมลดลงไปมาก แต่ก็ยังคงมีการใช้อยู่ถึง 182,322 ใบเลยทีเดียว แล้วรู้ไหมว่ากระทงโฟม 1 ใบ มีที่มาอย่างไรและต้องใช้เวลาในการย่อยสลายกี่ปี
ดร. ธนาวดี ลี้จากภัย นักวิจัยประจำห้องปฏิบัติการวิจัยวัสดุเพื่อสิ่งแวดล้อม ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) กล่าวว่า โฟมที่นิยมนำมาใช้ทำเป็นฐานกระทงนั้น เป็นโฟมที่ผลิตจากพลาสติกประเภทโพลีสไตรีน (Polystyrene : Ps) ซึ่งกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติกชนิดนี้ จะมีการใส่ก๊าซเพนเทน (Pentane : C5H12) หรือ บิวเทน (Butane : C4H10) เข้าไปเพื่อให้เนื้อพลาสติกทำปฏิกิริยาและกักเก็บก๊าซเอาไว้ภายใน
เมื่อนำมาผลิตเป็นโฟม ก็จะนำเม็ดพลาสติกโพลิสไตรีนมาอัดด้วยไอน้ำ ซึ่งไอร้อนจะทำให้พลาสติกนิ่มและก๊าซที่อยู่ภายในจะขยายตัวออกมาเป็นเม็ดโฟมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้นจึงนำไปขึ้นรูป (Molding) ซึ่งมี 2 วิธี คือ อัดขึ้นรูปเป็นรูปร่างต่างๆ ตามลักษณะแม่พิมพ์ที่ทำ (Shape Molding) เช่น เป็นกล่องน้ำแข็ง หรือบรรจุภัณฑ์แบบต่างๆ และอีกวิธีก็ คือ อัดขึ้นรูปเป็นก้อนสี่เหลี่ยม (Block Molding) แล้วจึงนำมาตัดให้ได้ตามขนาดรูปร่างที่ต้องการ
"ทั้งนี้ที่ผ่านมา การกำจัดโฟมโดยทั่วไปจะนิยมเผาหรือฝังกลบ ซึ่งการเผาก็ทำให้เกิดมลพิษในอากาศ ขณะที่การนำไปฝังก็จะย่อยสลายได้ยากมาก เนื่องจากโฟมเป็นวัสดุสังเคราะห์ ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยวิธีทางชีวภาพโดยจุลินทรีย์ แม้จะยังไม่มีงานวิจัยเรื่องเวลาของการย่อยสลายที่แน่ชัด แต่ประเมินว่าโฟมที่นำมาใช้ในการทำฐานกระทงขนาดทั่วไปพียง 1 กระทงนั้น ต้องใช้เวลาในการย่อยสลายไม่ต่ำกว่า 50 ปีเลยทีเดียว" ดร. ธนาวดี อธิบาย
อีกทั้งแม้ปัจจุบัน จะสามารถนำโฟมกลับมารีไซเคิลได้โดยการบดให้มีขนาดเล็ก แล้วนำกลับเข้ามาสู่กระบวนการหลอมให้กลายสภาพเป็นพลาสติก PS เพื่อนำกลับมาผลิตเป็นสินค้าพลาสติกใหม่ เช่น ตลับเทปเพลง ม้วนวิดีโอ ไม้บรรทัด เป็นต้น แต่ก็ต้องมีกระบวนการจัดเก็บ คัดแยก และทำความสะอาดที่ถูกต้อง
ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมา การรีไซเคิลโฟมที่จัดเก็บจากสาธารณะนั้น ยังมีไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าโฟมรีไซเคิลไม่ได้ นอกจากนี้ กระบวนการจัดเก็บโฟมมักจะมีขนาดใหญ่แต่มีน้ำหนักเบา ทำให้ต้นทุนของการขนส่งค่อนข้างจะสูงกว่าพลาสติกประเภทอื่นๆ จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม
อย่างไรก็ดีสำหรับประเพณีลอยกระทงในปีนี้ ดร. ธนาวดี แนะนำว่า อยากให้ประชาชนหันมาเลือกใช้กระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เพราะว่า โฟม เป็นสารสังเคราะห์ที่ผลิตมาจากน้ำมันดิบ จัดเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป อีกทั้งยังต้องใช้เวลานานหลายล้านปีในการสร้างขึ้นมาใหม่ ขณะที่วัสดุจากธรรมชาติ เช่นต้นกล้วย จัดเป็นทรัพยากรที่ปลูกทดแทนได้ง่าย ไม่หมดไป และที่สำคัญยังย่อยสลายได้ในเวลาสั้นเมื่อเทียบกับโฟมที่ต้องใช้เวลาหลายสิบปีอีกด้วย
ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 |