ในคราวที่แล้วได้อธิบายไปว่า รังสีที่เกิดจากสารกัมมันตภาพรังสีที่สำคัญ ๆ มี ๓ ตัวคือ รังสีแอลฟา รังสีเบต้า และรังสีแกมม่า ซึ่งแต่ละตัวมีอำนาจการทะลุทะลวงที่ต่างกันไป (จากน้อยไปมาก)
วันนี้จะมาว่ากันต่อถึงผลที่เกิดขึ้นหากสิ่งมีชีวิต (เช่น มนุษย์) รับรังสีเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งหากได้รับในปริมาณที่น้อยและในช่วงเวลาสั้น ๆ ร่างกายก็สามารถสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายไปได้ แต่หากได้รับในปริมาณที่มากก็จะมีอันตรายต่อบุคคลผู้นั้น เช่น เกิดอาการอาเจียน คลื่นไส้ อ่อนเพลีย และถึงกับเสียชีวิตทันทีหรือภายใน ๑ สัปดาห์หากรับเข้าไปเต็มที่ ซึ่งสำหรับในกรณีของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่สมุทรปราการ ก็เกิดจากรังสีเข้าไปทำลายกลไกการสร้างเม็ดเลือดขาวในร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานลดลงจนเสียชีวิตในที่สุด
สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผลในระยะยาว บางกรณีเซลที่ได้รับรังสีเข้าไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทำให้อาจเปลี่ยนไปเป็นเซลมะเร็ง เช่น มะเร็งในเม็ดเลือดในกลุ่มคนที่ทำงานกับสารกัมมันตรังสีบ่อย ๆ มะเร็งปอดที่เกิดกับคนงานในเหมืองขุดแร่กัมมันตภาพรังสี เป็นต้น
หากพบว่ามีการรั่วไหลของรังสีในบริเวณที่เราอยู่ สิ่งแรกคือออกมาให้ห่างจากบริเวณนั้นมากที่สุด และชำระล้างร่างกายให้สะอาด และเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ทันที จากนั้นให้ไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป และพื้นที่บริเวณนั้น จะต้องถูกประกาศเป็นพื้นที่ห้ามเข้า จนกว่าจะได้รับคำยืนยันว่าปลอดภัย
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาพิษจากกัมมันตรังสี การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในขณะนี้ ในบริเวณที่มีการใช้หรือเก็บสารเหล่านี้ จะต้องมีการวัดปริมาณรังสีในสถานที่และผู้เกี่ยวข้องอยู่เสมอ กิจกรรมทุกชนิดที่เกี่ยวกับสารนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ การเคลื่อนย้าย การจัดเก็บ ต้องทำอย่างระมัดระวังและมีการทำความสะอาดและตรวจซ้ำว่าไม่มีสารนี้หลงเหลืออยู่ พร้อมทั้งมีแผนสำรองหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีขั้นตอนที่เป็นสากลกำหนดไว้อยู่แล้ว อยู่ที่ผู้ปฏิบัติจะให้ความใส่ใจแค่ไหน หาไม่แล้วเหตุการณ์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน...
|