กรมควบคุมมลพิษร่วมกับบริษัทผลิตหลอดไฟรายใหญ่ 2 แห่งดำเนินโครงการเรียกคืนซากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ จากอาคารและสถานประกอบการขนาดใหญ่ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีการใช้หลอดไฟจำนวนมาก เพื่อนำมารีไซเคิลเป็นหลอดไฟใหม่ โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องกำจัดซากหลอดฟลูออเรสเซนต์อย่างถูกวิธีไม่น้อยกว่า 80 ตัน ภายในปี พ.ศ. 2550
ทั้งนี้ การที่ต้องจัดการซากหลอดฟลูออเรสเซนต์อย่างถูกต้องก็เนื่องมาจากหลอดฟลูออเรสเซนต์มีการใช้ไอสารปรอทในกระบวนการทำให้เกิดแสงสว่าง ไอปรอทที่บรรจุอยู่ในหลอดจะลดปริมาณลงเรื่อย ๆ ตามอายุใช้งานของหลอด โดยจะซึมไปในเนื้อหลอดแก้ว หรือตามขั้วหลอด เป็นต้น ในอดีตการผลิตจะบรรจุไอปรอทอย่างมากเกินพอ เพื่อไม่ให้มีปัญหาไอปรอทหมด แต่ในระยะหลังที่มีความตระหนักด้านสุขภาพอนามัยมากขึ้นจึงมีการลดปริมาณไอปรอทลง ปริมาณไอปรอทที่บรรจุในหลอดฟลูออเรสเซนต์ในหลอดชนิดต่าง ๆ ที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกามีดังนี้ สำหรับช่วงก่อนปี ค.ศ.1988 หลอดขนาด 4 ฟุต T 12 มีปรอทประมาณ 45 มิลลิกรัมต่อหลอด ในช่วงหลังปี ค.ศ. 1988 ลดเหลือประมาณ 11.6 มิลลิกรัมต่อหลอด ส่วนหลอดประหยัดพลังงาน มีปรอทเฉลี่ย 4-5 มิลลิกรัมต่อหลอด ส่วนในประเทศไทยมีข้อกำหนดคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ที่จะได้รับฉลากเขียว กรณีหลอดฟลูออเรสเซนต์ต้องมีปริมาณปรอทไม่เกิน 10 มิลลิกรัมต่อหลอด
ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่าในแต่ละปีมีหลอดไฟหมดอายุประมาณ 41 ล้านหลอดที่ถูกทิ้งหรือกำจัดไม่ถูกวิธี โดยในจำนวนนี้เป็นหลอดฟูลออเรสเซนต์ 32 ล้านหลอด เมื่อเทียบกับปริมาณปรอทที่บรรจุได้ตามมารฐานฉลากเขียวจะพบว่ามีปรอทปนเปื้อนอยู่กับหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ทิ้งประมาณปีละ 320 กิโลกรัม ซึ่งจะปนเปื้อนเข้าสู่สิ่งแวดล้อมในที่สุด เนื่องจากทิ้งรวมไปกับขยะทั่วไป เมื่อปรอทเข้าสู่สิ่งแวดล้อมจะถูกเปลี่ยนเป็นเมทิลเมอร์คิวรีซึ่งเป็นปรอทในรูปสารอินทรีย์ ที่มีพิษร้ายแรง สะสมได้ในสิ่งมีชีวิต จะยิ่งอันตรายมากเมื่อเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร ปรอทอินทรีย์ชนิดนี้คือสาเหตุของโรคมินามาตะที่ปรากฎในประเทศญี่ปุ่นครั้งแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
ที่มาของข้อมูล :
http://www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9490000122544
http://www.epa.gov/mercury/effects.htm
http://lightingdesignlab.com/articles/mercury_in_fl/mercurycfl.htm
http://www.tei.or.th/greenlabel/TGL_02_R2_02.htm |