ประเด็นเรื่องการยอมรับผู้ป่วยอย่างจำกัดคือสิ่งที่ค้างคาและทำร้ายจิตใจผู้ป่วยมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
พิจารณาตามเหตุและผลที่ควรเป็น ระบบการรับรองผู้ป่วยโรคมินามาตะที่ได้รับการวางรากฐานมาตั้งแต่ปลายปี 2502 หรือประมาณ 3 ปีหลังค้นพบผู้ป่วย น่าจะเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งในการช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อย่างมหาศาลตั้งแต่ช่วงแรกๆ หากว่าตัวระบบสามารถทำงานและดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ระบบการรับรองกลายเป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้ผู้มีอาการเจ็บป่วยจำนวนมากมีสถานะในเชิงทางการว่าเป็นผู้ป่วย และเมื่อไม่ได้รับการรับรองก็หมายถึงไม่ได้รับการชดเชยหรือแม้แต่การช่วยเหลือ
ระบบการรับรองนี้จัดตั้งและดำเนินการโดยรัฐบาล ตลอดเวลาที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการมาหลายชุด โดยชุดล่าสุดคือ “คณะกรรมการสอบสวนการรับรองผู้ตกเป็นเหยื่อมลพิษแห่งจังหวัดคุมาโมโต” เกิดขึ้นภายหลังจากที่กฎหมายเพื่อการออกมาตรการพิเศษในการช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากมลพิษ (Law for Special Measures for Relief of Pollution-Related Health Damage) มีผลบังคับใช้บางส่วนเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2512 คณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยแพทย์จำนวน 10 คนจากมหาวิทยาลัยคุมาโมโต โรงพยาบาลเมืองมินามาตะ และสถาบันอื่นๆ
แม้คณะกรรมการจะเปลี่ยนชื่อและตัวบุคคลไปหลายครั้ง แต่ทั้งหมดก็ใช้วิธีการเดียวกันในการพิจารณารับรองผู้ป่วย นั่นคือการตั้งหลักเกณฑ์ว่าอาการป่วยแบบใดจึงเรียกว่าเป็นโรคมินามาตะ
ทัศนะและเกณฑ์การพิจารณาโรคของคณะแพทย์ในสภามีลักษณะคับแคบและตายตัว ผู้ป่วยที่ได้รับการรับรองมักอยู่ในกลุ่มอาการรุนแรงและกลุ่มที่มีอาการเข้าลักษณะแบบฉบับของโรคมินามาตะเท่านั้น สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังหรือยังไม่มีอาการรุนแรงมาก เช่น การปวดหัว การควบคุมมือและแขนไม่ได้ในบางครั้ง การสูญเสียความรู้สึกตามปลายประสาทของมือและเท้า การทำงานของกล้ามเนื้อที่ไม่ประสานกัน และการมองเห็นได้แคบกว่าสายตาของคนปกติ กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้จะถูกปฏิเสธ
ดังนั้นกลุ่มที่ได้รับการรับรองจึงมีจำนวนจำกัดอย่างมาก กว่า 40 ปีนับตั้งแต่ที่มีการสร้างกลไกนี้ขึ้นมาจนถึงเดือนมกราคม 2546 จึงปรากฏว่ามีผู้ป่วยเพียง 2,265 คนเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์การรับรอง จากจำนวนที่ยื่นขอมากกว่า 40,000 คน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยเหล่านี้เสียชีวิตไปก่อนที่จะได้รับการรับรอง
สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ยอมรับข้อเสนอจากรัฐบาลด้วยการรับเงินชดเชยแบบครั้งเดียวจบเมื่อเดือนกันยายน 2538 จำนวน 10,353 คน คนกลุ่มนี้ก็ไม่จัดเป็นผู้ป่วยโรคมินามาตะอย่างเป็นทางการเช่นกัน เนื่องจากไม่ผ่านการรับรอง ในจำนวนนี้เหลือเพียง 9,656 คนเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ทันได้รับความช่วยเหลือ จากการที่รัฐบาลออกหนังสือให้ไปใช้บริการทางการแพทย์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
นพ. ฮาราดะ หนึ่งในผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการทำงานและวิธีคิดเรื่องการรับรองของรัฐบาลแสดงความเห็นว่า ระบบดังกล่าวเป็นระบบการปฏิเสธคนไข้มากกว่า
“ระบบที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาแทนที่จะเชื่อมความช่วยเหลือให้ไปถึงผู้ป่วย กลับกลายเป็นตัวบั่นทอนและเหนี่ยวรั้งความช่วยเหลือที่จะมีให้กับผู้ป่วย ตัวคณะกรรมการที่ทำหน้าที่อยู่ในนั้นมักเข้าข้างรัฐบาลและบริษัท คนไข้แต่ละรายที่รอการตัดสินใจจากคณะกรรมการว่าเป็นผู้ป่วยโรคนี้จะต้องรอนานหลายวันจึงจะได้รับการวินิจฉัย”
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้กลายเป็นการกระทำที่ซ้ำเติมความทุกข์และความเจ็บปวดแก่ผู้ป่วยและครอบครัวอย่างรุนแรง คนเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือและการดูแลรับผิดชอบได้เลยเมื่อไม่ผ่านการรับรอง
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ถูกปฏิเสธจากระบบนี้ได้แต่ก้มหน้ารับความชอกช้ำเพิ่มเติม แต่มีบางกลุ่มที่เลือกใช้วิธีการฟ้องร้องต่อศาล ซึ่งเกิดคดีความขึ้นไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องเนื่องจากการทำงานล่าช้า การปฏิเสธการเป็นผู้ป่วยของพวกเขาโดยไม่มีการตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วน ขณะเดียวกันก็มีบางกลุ่มที่เลือกแนวทางการประท้วงเพื่อกดดันให้ได้เจรจาโดยตรงกับบริษัทชิสโสะ แต่แน่นอนว่า ทั้งบริษัทและรัฐต่างก็มีจุดยืนแน่ชัดเดียวกัน นั่นคือ ผู้ป่วยโรคมินามาตะในความหมายทางการได้แก่กลุ่มผู้ป่วยที่ผ่านการรับรองแล้วเท่านั้น
คำถามสำคัญจาก นพ. ฮาราดะก็คือ หากพวกเขาไม่เชื่อว่าผู้ที่อาศัยอยู่รอบทะเลชิรานุยและมีอาการผิดปกติของระบบประสาทป่วยด้วยโรคมินามาตะแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเขาบอกได้หรือไม่ว่า ผู้ป่วยเหล่านี้ป่วยเป็นโรคอะไร
ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่คลุกคลีอยู่กับเรื่องนี้ นพ. ฮาราดะบอกว่า นี่เป็นข้อสงสัยที่เขาเฝ้าถามขึ้นมาหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยได้รับคำตอบเลย
การต่อสู้ยังไม่จบ
”เราได้แสดงความรับผิดชอบไปแล้ว เรื่องมันจบไปแล้ว...” อิชิโร โอฮิระ ผู้บริหารฝ่ายกิจการทั่วไปและทรัพยากรบุคคลของชิสโสะคอร์ปอเรชั่นตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก ในตอนหนึ่งของการเจรจากับกลุ่มตัวแทนผู้ป่วยโรคมินามาตะ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 มิถุนายน 2549 บนอาคารสูงของบริษัทชิสโสะในกรุงโตเกียว
น้ำเสียงและสีหน้าของเขาถูกควบคุมไว้ในความสงบเย็น ทว่ามือทั้งสองข้างกลับสั่นระริกเกือบตลอดสามชั่งโมงของการโต้ตอบกัน
“คุณหมายความว่ายังไง จบไปแล้ว” เสียงพูดที่ดังออกมาเกือบพร้อมกันของตัวแทนผู้ป่วยกว่า 20 คนที่นั่งเผชิญหน้ากับฝ่ายชิสโสะ พัดโหมให้บรรยากาศแห่งความโกรธและไม่พอใจกระจายไปทั่วห้องประชุม
ข้างๆ โอฮิระมีเจ้าหน้าที่ระดับผู้บริหารขนาบอยู่ คือ อะคิฮิโกะ ซันเป ผู้จัดการฝ่ายกิจการทั่วไปและทรัพยากรบุคคล กับทัตสึยา อะโอคิ หัวหน้าฝ่ายกิจการสิ่งแวดล้อม
กลุ่มผู้ป่วยโรคมินามาตะและผู้สนับสนุนได้นัดพบเพื่อเจรจากับบริษัทชิสโสะอีกครั้งในวาระที่การค้นพบโรคมินามาตะมีอายุครบ 50 ปี พวกเขามาเพื่อทวงถามความรับผิดชอบต่อผู้ป่วยที่ค้นพบเพิ่มอีกกว่า 3,000 ราย และเรียกร้องให้ทางบริษัทหยุดพฤติกรรมการทำลายสิ่งแวดล้อมในเมืองมินามาตะ
“ผมไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบ แต่เราได้ทำตามข้อตกลงปี 1995 ซึ่งก็ครอบคลุมไปถึงผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการรับรองแล้ว... ทางบริษัทจะคิดเองว่าเราควรจะทำอะไรเมื่อเวลานั้นมาถึง ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา” โอฮิระยังคงควบคุมน้ำเสียงให้อยู่ในความเยือกเย็นต่อไป
“คุณรู้หรือเปล่าว่าผลกระทบจริงๆ คืออะไรบ้าง ไม่มีใครรับรู้เลยใช่ไหม พวกคุณไม่คิดว่ามันจะต้องพยายามมองปัญหาที่เกิดขึ้นในมุมมองที่ยาวขึ้นบ้างเลยหรือ” ตัวแทนผู้ป่วยคนหนึ่งกล่าวสวนออกมาอย่างเร็ว
”เราไม่ใช่หมอและเราไม่สามารถตัดสินใจได้ มันเกินหน้าที่ของเรา ...เราทำอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อตอนนี้ช่องทางสาธารณะก็เปิดให้อยู่แล้ว หากเราจ้างหมอมาตรวจผู้ป่วย เราคงต้องล้มละลาย” โอฮิระพยายามตัดบท
เป็นที่ชัดเจนว่า การเจรจาโต้ตอบครึ่งค่อนวันจบลงไม่ต่างจากที่ผ่านๆ มา
บ่ายวันเดียวกันนั้น ตัวแทนผู้ป่วยชุดเดียวกันได้เข้าพบยาซูคิ เอดะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม ที่มาแทนยูริโคะ โคอิเคะ รัฐมนตรีว่าการ
ประมาณ 2 ปีก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2547 ศาลฎีกาได้มีคำตัดสินต่อคดีคันไซ ระบุให้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นมีส่วนรับผิดชอบต่อกรณีโรคมินามาตะ พร้อมทั้งมีคำตัดสินที่ชัดเจนเกี่ยวกับอาการของโรคมินามาตะ ว่าเป็นอย่างไรและมีอะไรบ้าง ข้อวินิจฉัยของศาลที่สำคัญและนับว่าเป็นนิมิตหมายใหม่คือ การระบุว่าทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นละเลยในการควบคุมปัญหามลพิษกรณีนี้จนเป็นเหตุให้ปัญหาลุกลาม อีกทั้งทางการยังไม่ยอมรับผู้ป่วย ปล่อยปละให้ได้รับความทุกข์โดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ ทั้งๆ ที่โดยบทบาทหน้าที่แล้วรัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือ แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ดังนั้นรัฐบาลจึงเป็นผู้ละเมิดผู้ป่วยเหล่านี้เสียเอง
ทางกระทรวงสิ่งแวดล้อมและรัฐบาลญี่ปุ่นได้แถลงคำขอโทษเพื่อแสดงความรับผิดชอบตามการตัดสินของศาลฎีกา และในเดือนมิถุนายน ปีต่อมา รัฐบาลก็จ่ายเงินค่าชดเชยตามคำตัดสิน แต่ก็ยังคงยืนกรานปฏิเสธไม่ยอมเปลี่ยนหลักเกณฑ์การรับรองผู้ป่วยตามที่กลุ่มผู้ป่วยได้เรียกร้องมาตลอด ทั้งยังนิ่งเฉยต่อข้อเรียกร้องที่ขอให้มีการศึกษาทางระบาดวิทยาอย่างจริงจังเพื่อจะได้รู้ถึงขอบเขตและระดับผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นวิชาการ
ในอีกทางหนึ่ง คำตัดสินของศาลก็ส่งผลกระตุ้นให้ผู้ป่วยมายื่นขอรับการรับรองมากขึ้น ด้วยสาเหตุหลากหลายประการ นับตั้งแต่ผู้ป่วยคิดตกแล้วที่จะเปิดเผยตัวเอง หลังจากที่ก่อนหน้านั้นกังวลว่าลูกหลานหรือสมาชิกในครอบครัวจะได้รับผลกระทบทางสังคม หรือบางรายก็เนื่องมาจากมีอาการป่วยมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่เกิดจากมารดาที่บริโภคปลาปนเปื้อนสารประกอบอินทรีย์ของปรอทในระหว่างตั้งครรภ์ กลุ่มนี้มีสุขภาพแย่ลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายคนที่เพิ่งรู้ว่า อาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เป็นมานานคือกลุ่มอาการของโรคมินามาตะ หรือเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีสิทธิที่จะยื่นขอรับการวินิจฉัยเพื่อรับรองว่าเป็นโรคมินามาตะและผู้ป่วยต้องมาใช้สิทธินี้ด้วยตัวเอง
ทั้งนี้นับตั้งแต่ศาลฎีกามีคำตัดสินจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 ปรากฏว่ามีผู้มายื่นขอการรับรองการเป็นผู้ป่วยเป็นจำนวนถึง 3,348 ราย แต่รัฐก็ยังคงไม่แสดงความใส่ใจในการรับผิดชอบต่อผู้ป่วยเหล่านี้เช่นเดิม
ในการเข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อม ชิเกรุ อิซายามา ประธานสมาคมสนับสนุนช่วยเหลือโรคมินามาตะ และฮิเดคิ ซาโตะ ประธานสมาคมช่วยเหลือเหยื่อโรคมินามาตะ พร้อมกลุ่มผู้ป่วยและผู้สนับสนุนกว่า 30 คน จึงยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลรวม 4 ข้อ ได้แก่
1) ขอให้ตั้งองค์กรขึ้นมาตรวจสอบความผิดชอบของรัฐบาลต่อกรณีโรคมินามาตะ
2) ให้ตรวจสอบระดับความรุนแรงของปัญหาและสอบหาผู้ป่วยกลุ่มเพิ่มเติมโดยด่วน เพื่อให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากอยู่ในวัย 30 – 50 ปีที่เป็นโรคมินามาตะมาแต่กำเนิดและอาการป่วยรุนแรงมากขึ้น
3) ปรับปรุงระบบการรับรองผู้ป่วยโรคมินามาตะ และให้มีการตรวจสอบมาตรการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคนี้ตามคำตัดสินของศาลฎีกา รวมทั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายที่แท้จริงจากพิษของสารปรอทและปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบการรับรองผู้ป่วยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
4) ขอให้รัฐบาลจัดหามาตรการช่วยเหลือด้านสวัสดิการ การดำเนินชีวิต การรักษาทางการแพทย์ และอื่นๆ โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องพิการด้วยโรคนี้มาแต่กำเนิด ในฐานะที่รัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสูญเสียจากโรคนี้ลุกลามออกไปอย่างรุนแรง
บาดแผลทางสังคม
ผู้ป่วยโรคมินามาตะไม่เพียงทุกข์ทรมานทางร่างกายเท่านั้น แต่พวกเขายังถูกกระทำซ้ำในทางจิตใจและทางสังคมอย่างรุนแรง
ด้วยสภาพของร่างกายและอาการของโรคที่แสดงออกมาอย่าน่ากลัว ในระยะแรกผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้จึงถูกตั้งข้อรังเกียจว่าป่วยเป็นโรคประหลาด ยิ่งมีการสันนิษฐานทางการแพทย์ในเบื้องต้นว่านี่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง การกีดกันจากสังคมก็ยิ่งรุนแรง ดังกรณีของครอบครัวทานากะ เมื่อชิซุโกะและจิตสึโกะถูกแยกไปอยู่อาคารผู้ป่วยติดเชื้อร้ายแรง ครอบครัวนี้ก็กลายเป็นที่รังเกียจของเพื่อนบ้าน ไม่มีใครอยากสมาคมด้วย
สิ่งเดียวนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของผู้ป่วยรายอื่นๆ ด้วย ปรากฏการณ์เช่น เจ้าของร้านชำไม่ยอมขายของและรับเงินจากเด็กป่วยที่มาซื้อของที่ร้าน เพื่อนบ้านเลิกคบ ญาติไม่มาเยี่ยนเยียน เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป กระทั่งผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวเองก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น เมื่อพบปะคนรู้จักระหว่างทาง พวกเขาต้องรีบเดินหลีกหนีไปไกล หลายคนต้องหลบไปเดินตามทางรถไฟระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลเพื่อหนีสายตาผู้คน
นอกจากนี้ ชาวเมืองมินามาตะทั่วไปยังตั้งข้อรังเกียจบรรดาผู้ป่วย ด้วยเหตุว่าพวกเขาทำให้เมืองมินามาตะเสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะในขอบเขตที่กว้างขึ้น ชาวมินามาตะทั้งหมดก็กลายเป็นคนที่สังคมข้างนอกกลัวและรังเกียจเช่นเดียวกัน ดังปรากฏว่า บุตรหลานจากเมืองนี้มักถูกปฏิเสธการจ้างงานจากเมืองอื่นๆ ถูกปฏิเสธโอกาสในการศึกษาและการแต่งงาน ผลผลิตจากการทำประมงของเมืองนี้ก็ไม่สามารถขายให้ใครได้ ครั้งหนึ่งจึงเคยมีความพยายามที่จะเปลี่ยนชื่อเมืองมินามาตะไปเป็นชื่ออื่น
สภาพเลวร้ายนี้รุนแรงอย่างยิ่งในช่วงแรกที่ไม่สามารถบอกได้ว่าโรคนี้เกิดขึ้นจากอะไร แต่แม้ต่อมาจะมีการยืนยันแล้วว่าโรคนี้เกิดจากสารพิษในน้ำเสียของโรงงานชิสโสะ การเหยียดหยามกลุ่มผู้ป่วยก็ยังมิได้ลดน้อยลง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต่อสู้เพื่อเรียกค่าชดเชยจากบริษัทต่างถูกประณามทั้งจากเพื่อนบ้านและสังคมภายนอกต่างๆ นานา ด้วยข้อหาหลักๆ คือ เป็นพวกเห็นแก่เงิน เห็นแก่ตัว ไม่รู้จักพอ และไม่รักบ้านเกิด
ขณะเดียวกัน นักการเมืองหลายคนก็ประณามกลุ่มผู้ป่วยที่ต่อสู้ให้ได้รับการรับรองการเป็นโรคนี้จากรัฐบาลและการเรียกค่าชดเชยอย่างรุนแรง เช่น สมาชิกสภาจังหวัดคุมาโมโตคนหนึ่งกล่าวเมื่อปี 2518 ว่า “คณะกรรมการรับรองผู้ป่วยลำบากใจมากที่จะแยกความจริงออกจากความเท็จ บางคนสายตาไม่มีปัญหาอะไรเลยเวลาไปสมัครขอใบขับขี่ แต่เมื่อมาตรวจสุขภาพเพื่อขอการรับรอง กลับบอกว่า สายตามีขอบเขตที่มองเห็นได้จำกัด”
หรือสมาชิกคนหนึ่งของพรรคแอลดีพี กล่าวเมื่อปี 2522 ว่า “ในจังหวัดคุมาโมโต คนพากันสมัครขอการรับรองว่าเป็นโรคเพราะอยากจะได้เงิน ผมคิดว่าอีกหน่อยประชากรของจังหวัดนี้คงมาขอรับรองจากรัฐบาลว่าเป็นโรคมินามาตะกันหมด ผมก็อยากอยู่จังหวัดนี้ด้วยและอยากให้รับรองผมว่าป่วยเป็นโรคนี้ด้วยเหมือนกัน”
ความหมายของตุ๊กตาหินสลัก
ทะเลเบื้องหน้าสงบนิ่ง ไร้คลื่นลมและความพลุกพล่านของเรือประมง ห่างฝั่งไปไม่มากนัก เกาะขนาดย่อม 2 - 3 เกาะตั้งโดดเด่นเสมือนหมุดยักษ์ที่ปักกั้นระหว่างทะเลตอนในกับทะเลตอนนอกที่กว้างใหญ่สุดสายตา
ชายฝั่งที่พวกเรายืนอยู่ไม่มีสภาพของหาดทรายเหลือให้เห็น แต่เป็นขั้นบันไดปูนแข็งแรงที่ทอดขึ้นไปยังลานคอนกรีตกว้างสะอาดตา ห่างออกไปทางด้านซ้ายมีสวนสาธารณะ ที่นั่นเต็มไปด้วยตุ๊กตาหินสลักขนาดย่อมหลายสิบตัว ตั้งประดับบนพื้นหญ้ากระจายห่างกันเป็นจุดๆ แต่ละตัวต่างอิริยาบถ หากทว่าสายตาทุกคู่ล้วนมองออกไปสู่ทะเลกว้าง
ที่นี่มีผู้คนบางตา บ้างนั่งพักผ่อน บ้างเดินเล่น บนสันเขื่อนคอนกรีตริมทะเลมีคนนั่งนิ่งพร้อมเบ็ดคันใหญ่ในมือ การรอคอยของเขาเริ่มตั้งแต่ก่อนเรามาถึงและดูเหมือนจะยังคงเนิ่นนานต่อไป ดวงอาทิตย์ดวงโตกำลังทอแสงทองสุดท้ายของวันขณะค่อยๆ เลื่อนตัวต่ำลงข้างเกาะเบื้องหน้า
ภาพที่เห็นช่างสงบงาม เราคงดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเย็นและความงามของที่นี่อย่างรื่นรมย์หากไม่ต้องรับรู้ว่า ณ ที่แห่งนี้แฝงฝังไว้ด้วยโศกนาฏกรรมครั้งเลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นจากมลพิษอุตสาหกรรม
“ที่แถบนี้เรียกว่าท่าเรือเฮียกเคง ใต้พื้นคอนกรีตที่เรากำลังยืนอยู่คือสารปรอทปริมาณมหาศาลที่ขุดขึ้นมาจากอ่าวมินามาตะ ที่เคยสะสมจนหนาเกือบสี่เมตรและกระจายเป็นบริเวณกว้างมาก” เป็นเสียงของโยจิ ทานิ เลขาธิการเครือข่ายความสมานฉันท์แห่งเอเชียและมินามาตะ ที่ดังแทรกห้วงคำนึงขึ้นมา
ตลอดเวลา 2 เดือนที่มินามาตะแห่งนี้ ทานิซังให้เวลากับเราอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ทั้งยังช่วยจัดการการเดินทางสู่ที่อื่นๆ ในญี่ปุ่นด้วย
ทานิอธิบายต่อถึงเรื่องโครงการฟื้นฟูอ่าวมินามาตะว่า ทางจังหวัดคุมาโมโตทำแผนมาตั้งแต่ปี 2510 ด้วยการขุดบริเวณที่ปนเปื้อนสารปรอทขึ้นมากองรวมกัน พร้อมกับกวาดจับปลาในอ่าวขึ้นมา แล้วฝังไว้ด้วยกัน ก่อนจะถมพื้นที่แถบนี้ทั้งหมดทับสารปรอทอีกที โดยระเบิดภูเขาจากเกาะที่อยู่ไม่ห่างออกไปมาใช้ จากนั้นก็ตกแต่งขึ้นมาเป็นสวนสาธารณะเรียกว่า “สวนสาธารณะเพื่อนิเวศน์” อย่างที่พวกเราเห็นอยู่ตรงหน้า งานทั้งหมดเพิ่งเสร็จเมื่อปี 2533
“แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่หนึ่งด้วยการทำลายสิ่งแวดล้อมอีกที่หนึ่ง” นั่นคือบทสรุปทิ้งท้ายจากทานิซัง ก่อนก้าวนำเราออกจากสวนสาธารณะเพื่อนิเวศน์ ซึ่งมีสารปรอทปริมาณมหาศาลที่เป็นตัวก่อ “โรคมินามาตะ” อันแสนทุกข์ทรมานถูกฝังอยู่ข้างใต้
เราหันมองหมู่ตุ๊กตาหินสลักอีกครั้ง ครุ่นคิดไปถึงเจตนารมณ์ของบรรดาผู้ป่วยและผู้ช่วยเหลือสนับสนุนการต่อสู้ทั้งหลายที่ร่วมกันสร้างตุ๊กตาเหล่านั้นขึ้นมา เพื่อเป็นตัวแทนแสดงความรู้สึกต่างๆ ทั้งความสำนึกเสียใจต่อบาปที่มนุษย์เป็นผู้กระทำ ทั้งการรำลึกถึงผู้ที่ต้องตายและทุกข์ทนด้วยพิษปรอท ทั้งปลอบประโลมและขอบคุณสำหรับความเข้มแข็งอดทนของผู้คนทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความหวังที่ว่า ดินแดนแห่งโรคร้ายและความตายนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นแผ่นดินอันสะอาดบริสุทธิ์ได้สักวัน
เอกสารประกอบการเขียน
1. “A Chronology of Minamata Disease.” AMPO: Japan Asia Quarterly Review Vol. 27 No.3, 1997
2. Foundation Minamata Disease Centre Soshisha. Minamata Disease, Illustrated
3. HARADA Masazumi. “Grassroots Movements by Minamata Disease Victims.” Publication III – A, International Christian University and Institute of Asian Cultural Studies, March 2001: 255 – 263
4. HARADA Masazumi. “Minamata Disease: Methylmercury Poisoning in Japan Caused by Environmental Pollution.” Critical Reviews in Toxicology, 25(1), 1995: 1 – 24
5. HARADA Masazumi. Translated by Tsushima Sachi และ Timothy S. George, translation edited by Timothy S. George. Minamata Disease, 1972
6. Minamata Forum. Minamata Disease Exhibition : English Guide
8. TANI Yoichi. “New Development Since the Supreme Court’s Verdict (the Kansai Lawsuit) : The Patients’ Movement.” 2006
ขอขอบคุณ
§ โยจิ ทานิ, ศ. นพ. มาซาซูมิ ฮาราดะ, ศ. นพ. ทาคาชิ มิยาคิตะ, ศ. นพ. มาซาโนริ ฮานาดะ, ศ. นพ. โนริโอะ อิชิดะ, ไอลีน เมียวโกะ สมิธ, จุนโกะ โอคุระ, โตชิยูกิ โดอิ และ ยูกะ คิกูชิ – สำหรับความรู้ ความช่วยเหลือ และไมตรีจิต
§ The Open Research Center for Minamata Studies, Kumamoto Prefecture – สำหรับการเอื้ออำนวยสถานที่ค้นคว้าและทำงาน
§ โครงการปัญญาชนแห่งเอเชียเพื่อประโยชน์สาธารณะ มูลนิธินิปปอน – สำหรับการสนับสนุนให้โอกาสในการเรียนรู้ครั้งนี้เป็นจริงได้
[1] ตีพิมพ์ในนิตยสารโลกสีเขียว ปีที่ 15 ฉบับที่ 6 มกราคม – กุมภาพันธ์ 2550 ภายใต้เรื่อง เปิดบันทึก 50 ปี “มินามาตะ”
ภาพประกอบ : เพ็ญโฉม ตั้ง, ดรุณี ไพศาลย์พาณิชย์กุล