สนับสนุนโดย    
สนับสนุนโดย    
   
สนับสนุนโดย    
เคมีทรรศนะเชิงนโยบาย

REACH  เรื่องของใคร ?

ผู้เขียน: รดาวรรณ  ศิลปโภชากุล
หน่วยงาน: สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรมวิทยาศาสตร์บริการ
วันที่: 6 ส.ค. 2550

REACH  เรื่องของใคร ?

                                                                                                                          

คำสำคัญ  สารเคมี, ข้อมูลสารเคมี, REACH, สหภาพยุโรป

 

การปนเปื้อนและตกค้างสะสมของสารเคมีในสิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก  และแผ่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ในสภาวะปัจจุบันที่ใช้ระบบการค้าเสรีเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะระบบการค้าเสรีเป็นตัวเร่งให้สินค้าแพร่ กระจายได้ง่ายและกว้างขวาง การควบคุมสินค้าให้ปลอดภัยจากสารเคมีจึงเป็นเรื่องสำคัญ    และต้องมีการจัดการเพื่อควบคุมการผลิตและการใช้สารเคมีอย่างเหมาะสม   จึงจะช่วยให้คุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การป้องกันปัญหาและความเสียหายเพราะสารเคมี โดยไม่ส่งผลกระทบที่มิพึงประสงค์ต่อเศรษฐกิจและสังคม ต้องอาศัยการประเมินความปลอดภัยของเคมี เพื่อกำหนดมาตรการลดความเสี่ยงต่ออันตรายได้อย่างเหมาะสมตามความจำเป็น จึงจะช่วยให้จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เช่น การควบคุมจำกัดการห้ามใช้สารเคมีเพื่อระงับเหตุเสียแต่แรก รวมถึงการส่งเสริมให้มีการใช้สารเคมีอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันอันตรายจากการที่ต้องสัมผัสสาร  และการกำหนดแนวทางและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากแพร่กระจายของสารเคมี  แต่การประเมินความปลอดภัยของเคมีจึงเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก  เพราะต้องทำการศึกษาทดลองหลายอย่างและใช้เวลานาน ทำให้มีสารเคมีจำนวนมากยังไม่ได้ทำการศึกษาทดลองเพื่อประเมินความปลอดภัย  ด้วยเหตุนี้สหภาพยุโรปจึงได้ออกกฎหมายบังคับให้มีการเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีให้พิจารณาก่อนการผลิตและใช้สารนั้น เพื่อเร่งผู้ประกอบการให้ทำการศึกษาค้นคว้าทดลองแทนภาครัฐที่ไม่สามารถรับภาระนี้ต่อไปได้  โดยอาศัยหลักการที่ว่าผู้ประกอบการเป็นผู้ผลิตและใช้สารเคมี  และได้รับประโยชน์จากการผลิตและการใช้สารเคมีนั้น  จึงควรที่จะเป็นผู้ที่รับภาระนี้

กฎหมายที่ว่านี้ คือ กฎหมายควบคุมสารเคมีของสหภาพยุโรป (Proposal for a Regulation of the European Parliament and of the Council concerning the Registration, Evaluation, Authorization and Restrictions of Chemicals. ) หรือ  ระเบียบ REACH นั่นเอง ระเบียบนี้ประกอบด้วยกระบวนการจดทะเบียนการประเมินและการอนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายสารเคมีภายในสหภาพยุโรป

กฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องจดทะเบียน โดยยื่นเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติและพิษของสารเคมี รวมถึงรายงานการประเมินความปลอดภัยของสารเคมีให้เจ้าหน้าที่ใช้ประกอบการพิจารณาอนุญาตให้ผลิตหรือใช้ผลิตสารเคมี  โดยใช้ปริมาณสารเคมีที่ผู้ประกอบการแต่ละรายนำเข้าสู่ตลาดของสหภาพยุโรปทั้งในรูปของสารเคมี เคมีภัณฑ์ และสารเคมีในผลิตภัณฑ์  รวมถึงคุณสมบัติของสารนั้นเป็นเงื่อนไขในการดำเนินการตามข้อกำหนดของระเบียบ  นอกจากการจดทะเบียนแล้วในระเบียบยังกำหนดให้ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของสารเคมีแต่ละตัว ต้องส่งต่อข้อมูลคุณสมบัติและวิธีป้องกันอันตรายของสารเคมี รวมถึงลักษณะการใช้และโอกาสที่จะสัมผัสเมื่อใช้สารเคมี (Exposure scenario) ให้แก่กันด้วยเอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheet, SDS) ของสารเคมีนั้น

สภาและคณะมนตรีสหภาพยุโรป มีมติให้เริ่มบังคับใช้ระเบียบ REACH  เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2007  และกำหนดให้ต้องแสดงความจำนงขอจดทะเบียนสารเคมีล่วงหน้า (Pre-registration) ต่อองค์กรกลาง(Central Agency) ภายใน 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2008 ถึง 1  ธันวาคม 2008  มิฉะนั้นจะต้องการจดทะเบียนทันทีเมื่อพ้นกำหนดเวลา หากไม่ดำเนินการจะไม่สามารถจำหน่ายสินค้าที่มีสารเคมีที่อยู่ในข่ายต้องจดทำเบียน แต่ยังมิได้ดำเนินการ (No Data No Market)  ผู้ส่งออกของไทยจึงต้องรีบจดทะเบียนสารเคมี  แต่เนื่องจากระเบียบ REACH กำหนดให้ผู้ส่งสินค้าเข้าไปขายต้องตั้งตัวแทนในสหภาพยุโรปเป็นผู้ดำเนินการตามข้อกำหนดแทน   และระเบียบ REACH มีสาระสำคัญหลายประการและซับซ้อน  หากไม่มีความรู้ความเข้าใจชัดเจน อาจทำให้การดำเนินธุรกิจในสหภาพยุโรปมีปัญหาและอุปสรรค และก่อให้เกิดความเสียหายได้ เพราะ

1.   ระเบียบ REACH กำหนดไว้ว่าตัวแทนต้องมีถิ่นพำนักอยู่ในสหภาพยุโรป และต้องมีความรู้ความเข้าใจถูกต้องชัดเจน ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องและสาระของข้อกำหนดและวิธีปฏิบัติของระเบียบ REACH  เพื่อให้สามารถดำเนินการในเรื่องเกี่ยวกับข้อกำหนดต่าง ๆ รวมทั้งการจัดการความเสี่ยง แทนผู้ประกอบการได้อย่างทันท่วงทีในกรณีที่ได้รับแจ้งให้ดำเนินการ    แต่ระเบียบ REACH ไม่มีระบบรับรองบุคคลที่สามารถเป็นตัวแทนได้ การหาตัวแทนที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้จึงเป็นเรื่องยากและเสี่ยง  เพราะตรวจสอบได้ยาก

2.    การจดทะเบียนจะต้องเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ การประเมินความปลอดภัยของสารเคมีให้พิจารณา  แต่การประเมินความปลอดภัยนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานานในการศึกษาค้นคว้าทดลอง และต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคและวิทยาศาสตร์ นอกจากนี้ยังต้องใช้ข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้า เช่น สูตร ส่วนผสม และวิธีการผลิต ด้วย   การที่ต้องให้ข้อมูลตัวแทนเพื่อดำเนินการ จึงมีความเสี่ยงที่ข้อมูลจะรั่วไหลได้ง่าย นอกจากนี้ข้อมูลการประเมินความปลอดภัยของสารเคมีบางตัว  เป็นข้อมูลที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ (Public available) โดยไม่ต้องเสียเงิน  แต่ผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายย่อยของไทยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในเรื่องระบบสารสนเทศสารเคมี  จึงไม่สามารถหาข้อมูลได้เอง  และอาจต้องจ่ายเงินค่าข้อมูลโดยไม่จำเป็น

3.   ระเบียบ REACH กำหนดให้มีการใช้ข้อมูลร่วมกัน (Data sharing)  ระหว่างผู้จดทะเบียนสารเคมีตัวเดียวกัน   และสารหนึ่ง ๆ ควรมีการจดทะเบียนเพียงครั้งเดียว (One substance One registration OSOR)  ผู้ยื่นจดทะเบียนสารเคมีเดียวกันจึงควรร่วมกันจดทะเบียน (Consortium formation)  แต่ระเบียบ REACH เปิดช่องให้เจ้าของข้อมูล และผู้จดทะเบียนที่มีศักยภาพในด้านการดำเนินการมากกว่าผู้อื่นในกลุ่มที่ยื่นจดทะเบียนสารเดียวกันสามารถปฏิเสธ  การขอใช้ข้อมูล  หรือ  การร่วมจดทะเบียนได้  ซึ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถขจัดผู้ประกอบการายย่อยที่เป็นคู่แข่งทางการค้าได้  เพราะเมื่อไม่มีข้อมูลก็ไม่สามารถจดทะเบียนได้  ทำให้ไม่ได้รับอนุญาตให้ขายสินค้านั้นได้  ดังนั้น  ผู้ประกอบการรายย่อยจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วย การค้าที่เป็นธรรม (Competition Law)  เพื่อให้สามารถป้องกันตัวเองจากการเอาเปรียบนี้ได้ 

4.   ข้อมูลการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับความปลอดภัย และการประเมินความเสี่ยงของสาร ที่ต้องใช้ในการจดทะเบียน      นอกจากจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระเบียบกำหนดไว้แล้ว  ยังต้องพิจารณาจากข้อมูลอื่น ๆ เช่น คุณสมบัติและความเป็นพิษของสาร  รวมถึงลักษณะและโอกาสที่ผู้ใช้จะต้องสัมผัสกับสารนั้นด้วย    แต่ผู้ประกอบการของไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย  ไม่มีความรู้เฉพาะทางเทคนิคเหล่านี้  จึงอาจทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการค้นคว้าทดลอง หรือซื้อ ข้อมูลโดยไม่จำเป็น

5.   การนำสินค้าเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป ต้องอ้างอิงข้อมูลสารเคมีและการจดทะเบียนสารเคมีที่ใช้ผลิตและยังคงเหลืออยู่ในสินค้านั้น ทำให้เกิดการผูกขาดการขายสารเคมีที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตโดยผู้ผลิตสารเคมีรายใหญ่  เพราะผู้ประกอบการายย่อยไม่สามารถจดทะเบียนได้เอง และอาจต้องซื้อสิทธิ์ใช้ข้อมูลการจดทะเบียนเพื่อส่งต่อให้ลูกค้าที่อยู่ปลายน้ำด้วย  มิฉะนั้นจะไม่สามารถขายสินค้าได้

6.   ระเบียบ REACH เกี่ยวกับการอนุญาตและจำกัดการใช้สารเคมีอันตราย  ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับสูตรและอาจรวมถึงเทคโนโลยีการผลิต  และในกรณีที่  ใช้สารทดแทน  ผู้ประกอบการต้องเสนอแผนการประเมินความปลอดภัยของสารทดแทนให้พิจารณาก่อน  ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องมีการวิจัยและพัฒนาสารทดแทนและแสวงหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการใช้วัตถุดิบใหม่ด้วย

                ผู้ประกอบการไทยจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนเรื่องเงื่อนไขต่าง ๆ   และระเบียบปฏิบัติของกฎหมายนี้ ทั้งนี้โดยได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ ในเรื่องต่อไปนี้ คือ

1.   การให้ความช่วยเหลือในด้านข้อมูลข่าวและความเคลื่อนไหวเรื่องระเบียบ REACH และให้คำแนะนำในการคัดเลือกตัวแทน

2.   การให้การช่วยเหลือด้านกฎหมายการค้า และป้องกันการกีดกันทางการค้าของบรรษัทข้ามชาติ  เพราะมีศักยภาพสูงในการจดทะเบียนสารเคมี

3.   การให้คำปรึกษาแนะนำด้านเทคนิคและวิทยาศาสตร์ และจัดเตรียมปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการตามข้อกำหนดของระเบียบ เช่น ข้อมูลสารเคมี ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบ 

เพราะเงื่อนไขและข้อกำหนดของระเบียบ REACH มีหลายมิติ ผู้ประกอบการจึงจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งทางค้าในตลาดร่วมยุโรปได้ องค์กรหนึ่งองค์กรใดจะดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบโดยลำพังเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละองค์กรมีความชำนาญเฉพาะทาง การเชื่อมโยงความรู้ความชำนาญของหน่วยงานต่าง ๆ เข้าด้วยกันจะเป็นประโยชน์การกำหนดแนวทาง การให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยอย่างเป็นระบบและสอดคล้องกัน และสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยได้อย่างทันกาลและมีประสิทธิภาพ

                การพัฒนาเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้าที่สนับสนุนและส่งเสริมการค้าและอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับผู้ประกอบการ ให้มีความรู้ความเข้าใจถึงเงื่อนไขและข้อกำหนดของ REACH ในมิติต่าง ๆ และเรื่องที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติตามข้อกำหนด จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถกำหนดบทบาทหน้าที่ของตน เพื่อลดปัญหาอุปสรรคและบรรเทาความเสียหายจากผลกระทบของระเบียบ REACH ได้อย่างเหมาะสม   ในขณะเดียวกัน อาจช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางการค้าให้กับประเทศไทยได้ด้วย

                สำหรับผู้สนใจศึกษาค้นคว้าเนื้อหาของระเบียบ REACH และรายงานการศึกษาผลกระทบด้านต่าง ๆ ตลอดจนแนวทางปฏิบัติของข้อกำหนดในระเบียบสามารถค้นหาเอกสารเหล่านี้ได้ในเว็ปไซต์ REACH WATCH  http://siweb.dss.go.th/reach/  

 


สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

โทร 0-2201-7295

e-mail  radawarn@dss.go.th

26 เมษายน 2550

 
  ข้อคิดเห็น
   
ข้อคิดเห็นที่ 1:1

ได้ความรู้ขึ้นมากเลยคะขอบคุณมากๆน่ะค่ะ

โดย:  fill  [3 ธ.ค. 2550 19:29]
 
   
ข้อคิดเห็นที่ 2:2

ดีค่ะ เพราะว่าตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ค่ะทำงานด้านเครื่องสำอางอยู่ค่ะทำให้เข้าใจมากขึ้น

โดย:  fon  [15 ก.พ. 2551 21:43]
 
   
ข้อคิดเห็นที่ 3:3

http://en.wikipedia.org/wiki/CAS_registry_number        CAS Registry Number        
http://www.cas.org/expertise/cascontent/registry/regsys.html        
http://en.wikipedia.org/wiki/EC_number_(chemistry)        EC Number  ( Chemistry )        
http://msds.chem.ox.ac.uk/eu_to_cas_converter.html        Cross-Referencing List of EU Numbers and CAS Numbers

โดย:  นักเคมี  [1 ส.ค. 2552 08:11]
 
   
ข้อคิดเห็นที่ 4:4

http://www.chemtrack.org/ReachWatch/        หรือ         http://siweb.dss.go.th/reach/

http://www.chemtrack.org/ReachCoach/        หรือ         http://siweb.dss.go.th/reachcoach/

โดย:  นักเคมี  [1 ส.ค. 2552 08:31]
 
   
ข้อคิดเห็นที่ 5:8

It's good to see someone thinking it trohugh.

โดย:  Roseanna  [25 ส.ค. 2555 09:06]
 
   
ข้อคิดเห็นที่ 6:9

เป็นประโยชน์มากค่ะ ได้ความรู้กว้างขค้นและนำไปอธิบายในนักเรียนฟัง

โดย:  อรพิน  [17 มิ.ย. 2566 10:33]
 
   

ขอเชิญร่วมแสดงข้อคิดเห็น