อุปสรรคของอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันภายใต้ระเบียบ REACH ของสหภาพยุโรป
ผู้ประกอบการไม่สามารถส่งผลิตภัณฑ์กระดาษไล่ยุงไปกับสายการบินของประเทศเยอรมนีได้ เนื่องจากไม่สามารถแสดงเอกสารข้อมูลความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ว่าถ้าตกน้ำจะมีฤทธิ์ตกค้างต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่อย่างไร
ผู้ประกอบการไม่สามารถขายบรรจุภัณฑ์ให้กับบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าของประเทศญี่ปุ่นได้ เนื่องจากไม่สามารถแสดงเอกสารข้อมูลความปลอดภัยของบรรจุภัณฑ์กระดาษได้
ผู้ผลิตน็อตส่งให้อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ต้องมาถามหาข้อมูลความปลอดภัยจากห้องสมุด เพื่อกรอกแบบฟอร์มในการส่งสินค้า
ส้มไทยไปแคนาดาถูกห้ามเข้าแคนาดา เพราะตรวจสอบพบสารตกค้างชื่อ Profenophos เกินมาตรฐานถึง 2 ครั้ง
นี่คือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับการส่งออกของไทย คงยังมีอีกมากมายที่ยังไม่เป็นที่รู้กันบางกรณีอาจจัดการปัญหาไปได้ บางกรณีก็จัดการไม่ได้ เช่น กรณีแรกที่ทำให้ขายของไม่ได้ทั้งๆที่มีการตกลงซื้อกันแล้ว หลายรายเข้าใจว่าทำตามลูกค้าสั่งแล้วไม่น่ามีปัญหา เขาให้ทดสอบอะไรก็ส่งไปทดสอบ จ่ายค่าบริการทดสอบซึ่งมักเป็นบริการที่อยู่นอกประเทศ บางครั้งถึงขั้นกำหนดว่าต้องทดสอบจากที่นั่นที่นี่เท่านั้น นี่คือที่มาของการเขียนบทความนี้ซึ่งมาจากผลงานวิจัยอย่างต่อเนื่องของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าของไทย มีแนวโน้มในการใช้มาตรการสิ่งแวดล้อมทางการค้ามากขึ้น เช่น ระเบียบการจัดการระบบรับคืนซากและจัดการเศษเหลือทิ้งของผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า (WEEE) หรือระเบียบการใช้สารทดแทนโลหะหนักที่เป็นอันตรายของสหภาพยุโรป เหตุผลของการกำหนดใช้มาตรการดังกล่าวมีหลายสาเหตุ บางกรณีเป็นการกำหนดโดยนโยบายของประเทศผู้นำเข้าสินค้าเอง ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียกร้องของผู้บริโภค ความตื่นตัวของสังคมในการรักษาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม หรืออาจเป็นไปเพื่อการปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ และบางกรณีเป็นการกำหนดมาตรการตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศนั้นๆ เป็นภาคีสมาชิก มาตรการฝ่ายเดียวที่ประเทศต่างๆกำหนดขึ้น จึงมีผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกที่จะต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นสินค้าของตนจะไม่ได้รับการยอมรับ เพราะเป็นอำนาจของผู้ซื้อในยุคนี้และข้างหน้าที่ฝ่ายผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดมาตรฐาน สินค้าไทยถ้าไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ผู้ซื้อกำหนด ฐานะการส่งออกของไทยก็จะด้อยลงไปเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ตัวสินค้าสำเร็จเท่านั้น ยังต้องพิจารณาตลอดห่วงโซ่ด้วยว่า เราอยู่ ณ จุดไหนของห่วงโซ่ของการผลิตก็ย่อมถูกกระทบไปด้วย
ระเบียบการจัดการสารเคมีใหม่ REACH (Registration, Evaluation and Authorization of Chemicals) ที่สหภาพยุโรปประกาศใช้ในต้นปี 2550 เป็นระเบียบที่ปรับปรุงจากระเบียบการขออนุญาตผลิตหรือใช้สารเคมีที่มีอยู่ในกฎหมายต่างๆ มากกว่า 40 ฉบับ เพื่อให้สามารถจัดการสารเคมีในสหภาพยุโรปอย่างมีความเป็นเอกภาพ ทั้งสารเคมีที่มีอยู่เดิมและสารเคมีใหม่ ระเบียบนี้จึงควบคุมสารเคมีและสินค้าที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบหรือผลิตด้วยสารเคมี ผู้ประกอบการทั้งหมดในโซ่การผลิตเป็นผู้รับผิดชอบภาระและค่าใช้จ่ายในการทดสอบสารเคมีและการประเมินความเสี่ยงทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีการกำหนดให้ถ่ายทอดข้อมูลสารเคมีและการประเมินความเสี่ยงระหว่างกันภายในสายโซ่การผลิต โดยใช้เอกสารความปลอดภัย (Safety Data Sheet : SDS) เป็นสื่อ รวมทั้งกำหนดให้มีการใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างผู้ขออนุญาตใช้สารเคมีรายการเดียวกัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบและลดการใช้สัตว์ทดลองด้วย นอกจากนี้ยังมุ่งหมายให้ระเบียบใหม่ช่วยรักษาศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าของสหภาพยุโรปได้ด้วย ข้อกำหนดต่างๆ ของระเบียบจึงมีส่วนเอื้อให้ผู้ประกอบการของสหภาพยุโรปได้เปรียบคู่แข่งทางการค้า
สำหรับประเทศไทยระเบียบ REACH ของสหภาพยุโรปก็สามารถส่งผลกระทบต่อการส่งออกของสินค้าไทยที่ประสงค์จะส่งไปยังสหภาพยุโรป โดยที่ผู้ส่งออกต้องแสดงปริมาณรวมทั้งข้อมูลความปลอดภัยในการใช้สารเคมีในผลิตภัณฑ์ของตน นับเป็นการสร้างภาระให้แก่ผู้ส่งออกไทย – ผลิตสินค้าขั้นสุดท้าย – ขั้นกลาง – วัตถุดิบ – ผู้นำเข้าวัตถุดิบ ตลอดสายโซ่การผลิต ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น และเมื่อผู้ประกอบการผลักภาระนี้ไปยังผู้บริโภค (ทั้งในประเทศและต่างประเทศ) ราคาสินค้าก็จะสูงขึ้นส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป
สินค้าส่งออกไปสหภาพยุโรปปี 2548 มูลค่ารวม 499,425.20 ล้านบาท
กลุ่มอุตสาหกรรม
|
มูลค่า (ล้านบาท)
|
ร้อยละของมูลค่าส่งออก
|
- ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
|
229,509.30
|
45.96
|
- ยานพาหนะและอุปกรณ์
|
51,830.40
|
10.37
|
- สิ่งทอ
|
50,022.60
|
10.01
|
- เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
|
13,829.80
|
2.76
|
- รองเท้าและชิ้นส่วน
|
12,112.50
|
2.42
|
- ผลิตภัณฑ์พลาสติก
|
9,980.30
|
1.99
|
- กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ
|
4,009.60
|
0.80
|
- ของเล่น
|
2,281.20
|
0.45
|
- อื่นๆ
|
125,849.50
|
25.24
|
ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
ผลการวิจัยสนับสนุนโดย สกว. จากรายงานของกลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สภาอุตสาหกรรมร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นการศึกษาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในแนวกว้าง ส่วนในแนวลึกสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และศูนย์วิจัยแห่งชาติด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ใช้กรณีศึกษากับบางผลิตภัณฑ์ ได้แก่ สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์ยาง รองเท้า และเซรามิก ได้สำรวจการใช้สารเคมีในโรงงานตัวอย่าง เพื่อประเมินสถานภาพของผู้ประกอบการไทยในการส่งออกสินค้าไทย และผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่อยู่ในสายโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมเป้าหมาย จากการดำเนินงานพบว่าผู้ประกอบการไม่แสดงความตื่นตัวทำให้ได้ข้อมูลมาไม่ครบถ้วน อย่างไรก็ดี ข้อค้นพบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสารเคมีที่รวบรวมได้พบว่า โรงงานมักไม่มีระบบสรรหาและจัดเก็บข้อมูลเอกสารด้านความปลอดภัยของโรงงาน ยิ่งกว่านั้นเอกสารความปลอดภัย (MSDS) จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายเคมีภัณฑ์ หรือสารเคมีที่ให้กับโรงงานมักไม่สมบูรณ์ เนื่องจากเอกสารบางส่วนไม่ใช่ MSDS แต่เป็นเอกสารรับรองหรือยืนยันองค์ประกอบ (Certification document) ของเคมีภัณฑ์หรือสารเคมีนั้นๆ ว่าไม่มีสารต้องห้าม หรือเป็นเอกสารที่ระบุข้อมูลคุณสมบัติเฉพาะหรือเป็นเอกสารแนะนำการใช้งาน ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงพอต่อการจัดทำข้อมูลประกอบการรายงาน SDS ในกระบวนการ REACH ยิ่งกว่านั้นอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับผลกระทบนั้นยังมีสัดส่วนของ SMEs จำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีประมาณ 1,460 ราย หรือร้อยละ 86 อุตสาหกรรมยานยนต์มีประมาณ 1,806 รายหรือร้อยละ 95 ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์มีทั้งผู้ประกอบการยานยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ กับส่วนที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็น SMEs ไทยนับ 1,000 ราย อุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งมีการผลิตครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำมีประมาณ 57,504 รายหรือร้อยละ 99 เป็นต้น ผลกระทบดังกล่าวจะส่งผลต่อเนื่องถึงการจ้างงานและมูลค่าเพิ่ม หากบริษัทผู้ผลิตสินค้าสำเร็จรูปไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบชิ้นส่วนในประเทศได้ก็ต้องหันไปนำเข้าจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการไทยที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็อาจต้องเลิกกิจการไป ซึ่งส่งผลต่อสายโซ่การผลิตในอุตสาหกรรมต่อเนื่องด้วย
ตารางสรุปข้อมูลสารเคมีของอุตสาหกรรมสิ่งทอจากการสำรวจโรงงานตัวอย่าง
ประเภท
|
จำนวนชนิดสารเคมี/เคมีภัณฑ์
|
รวม
|
ระบุองค์ประกอบครบถ้วน*
|
เคมีภัณฑ์
(Preparation)
|
สารเคมี
(Substance)
|
สารลงแป้ง
สารลอกแป้งและขจัดสิ่งสกปรก
สีย้อม/สีพิมพ์
สารตกแต่งสำเร็จ
|
15
85
286
92
|
0
17
3
3
|
15
102
289
95
|
1
0
5
0
|
รวม
|
478
|
23
|
501
|
6
|
หมายเหตุ : * ระบุองค์ประกอบครบถ้วน หมายถึง สามารถบ่งชี้ชนิดของสารเคมีที่มีอยู่ในเคมีภัณฑ์นั้นได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 (โดยน้ำหนัก)
ผลจากการสำรวจข้อมูลสารเคมีจากโรงงานตัวอย่างผลิตถุงมือยาง
ประเภท
|
จำนวน
|
CAS No.
|
ANNEX I
|
CMR
|
สารลงแป้ง
สารลอกแป้งและขจัดสิ่งสกปรก
สีย้อม / สีพิมพ์
สารตกแต่งสำเร็จ
|
3
25
142
86
|
1
25
137
85
|
0
8
45
10
|
0
1
24
2
|
รวม
|
256
|
249
|
63
|
27
|
CAS No. หมายถึง สารเคมีที่สามารถค้น CAS number ได้
ANNEX I หมายถึง สารเคมีทีจัดอยู่ในรายการสารเคมีอันตรายตาม ANNEX I ของข้อกำหนด Directive 67/548/EEC
CMR หมายถึง สารเคมีที่จัดอยู่ในกลุ่ม สารก่อมะเร็ง สารก่อการกลายพันธุ์ และสารอันตรายต่อการสืบพันธุ์ (Carcinogen, Mutagen and Reprotoxic; CMR) ตาม ANNEX XVI ของร่างระเบียบ REACH
เฉพาะกรณีศึกษาซึ่งได้มาจากโรงงานจำนวนไม่มากนัก ก็ทำให้เห็นสภาพของการเกี่ยวข้องกับสารเคมีมากมายหลายชนิด การศึกษาศักยภาพห้องปฏิบัติการไทยเพื่อรองรับผลกระทบของระเบียบ REACH ก็บ่งบอกถึงสภาพไม่แตกต่างกัน คือ ยังไม่มีห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบใดของไทยที่มีความสามารถพอที่จะวิเคราะห์ข้อมูลความปลอดภัยตามที่ REACH กำหนด หากจะวิเคราะห์ได้ก็ยังมีปัญหาการเป็นที่ยอมรับอีก ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์เซรามิกประเภทเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องครัวของไทย มีตลาดหลักอยู่ที่สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา (48% และ 32% ตามลำดับ) ล้วนเป็นประเทศที่กำกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์นำเข้าอย่าเข้มงวด ผลการวิเคราะห์ต้องเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้ กล่าวคือ ต้องได้มาตรฐาน GLP (Good Laboratory Practice) หรือมาตรฐาน ISO/IEC 17025 นอกจากนั้นสหภาพยุโรปยังได้มีประกาศเพิ่มเติมระบุข้อกำหนดด้านปริมาณโลหะหนัก ตะกั่วและแคดเมียมในผลิตภัณฑ์ที่ยอมให้ปนเปื้อนออกมาสู่อาหาร รวมทั้งข้อกำหนดของวิธีวิเคราะห์ ทดสอบด้วย ซึ่งหากผลการทดสอบไม่เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าว จะห้ามนำสินค้านี้เข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรปตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2550 อีกด้วย
ความจำเป็นเร่งด่วนหลายๆด้านที่เราต้องใส่ใจทั้งระดับนโยบายของภาครัฐ และความตื่นตัวเตรียมพร้อมของภาคอุตสาหกรรมไทย การสร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าจะเป็นกุญแจสำคัญ โดยการทำให้เกิดการรับรองระบบงานของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยการตรวจสอบและรับรอง (Conformity Assessment) มีมาตรฐานเป็นตัวอ้างอิง จำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานและผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแลประสานงานทั้ง 4 ด้าน คือ การค้า การมาตรฐาน มาตรวิทยา และระบบการรับรอง ทั้งในระดับชาติ ภูมิภาคและระดับสากล รวมไปถึงการทำข้อตกลงยอมรับร่วม (Mutual Recognition Agreements : MRA) เพื่อการยอมรับผลการตรวจสอบและรับรองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายๆเรื่องในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล แต่ก่อนจะถึงเรื่องนี้ความสามารถในการวิเคราะห์ทดสอบของห้องปฏิบัติการก็ต้องพัฒนาขึ้น เพื่อตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของสารเคมีในการจัดทำ SDS และการวิเคราะห์สารในผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมก็ต้องรวมตัวเครือข่ายผู้ใช้สารเคมี เพื่อเพิ่มน้ำหนักของข้อต่อรองกับผู้ผลิตสารเคมีให้จดทะเบียนสารเคมีให้ครอบคลุมการใช้ในลักษณะและวิธีการต่างๆ ของผู้ประกอบการไทย ถ้าองค์กรและสมาคมทางการค้าและอุตสาหกรรมสามารถประสานเครือข่ายความร่วมมือของกลุ่มผู้ใช้สารเดียวกันได้ ก็จะลดความเสี่ยงในเรื่องการรั่วไหลของความลับทางการค้า ในส่วนของรายผู้ประกอบการหรือโรงงาน ก็ควรพัฒนาการจัดการสารเคมีของตนให้เป็นระบบ เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำเนินการแก้ไขการนำกติกาสากลมาบังคับใช้ในทางการค้าระหว่างประเทศ
เมื่อคิดย้อนกลับ ทำไมเราไม่นำสิ่งที่เรา “กำลังถูกกระทำอยู่” มาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้กับตัวเอง ไม่ใช่จำยอมต่อสถานการณ์อยู่ร่ำไป เครื่องมือทางกฎหมายก็พอจะมีอยู่แล้ว นั่นคือจัดระบบการจัดการสารเคมีเสียใหม่ด้วยหลัก precautionary คือ ระวังไว้ก่อนเช่นเดียวกับ REACH ระบบการจัดการที่ว่าก็คือการทำให้รู้ว่าในประเทศเรามีสารเคมีชนิดใดนำเข้าผลิตใช้ครอบครองอยู่เท่าไร โดยให้มีการแจ้งก่อนและกำหนดให้ผู้ขายสารเคมี / ผู้นำเข้าต้องให้ข้อมูลความปลอดภัย (SDS) ของสารเหล่านั้น เราก็จะมีข้อมูลการประเมินความเสี่ยงและการประเมินความเสี่ยงในการใช้ (Intended use) ข้อมูลเหล่านี้มีช่องทางของ พรบ.วัตถุอันตรายเอื้ออยู่แล้ว เราก็จะมีข้อมูลประกอบการขึ้นทะเบียนที่จะพิจารณาต่อไปว่า ควรจัดกลุ่มอันตรายเป็นประเภทใดใน พรบ.วัตถุอันตราย ถ้าทำเช่นนี้ได้ก็ได้ประโยชน์ 2 ทาง คือ เพื่อปกป้องสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมภายในของเราเอง ขณะเดียวกันก็ยังพร้อมที่จะรับข้อกำหนดของ REACH ด้วย เรื่องทำนองนี้จะตีกรอบตามภาระงานของหน่วยงานหรือกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งไม่ได้ เพราะต้องมองภาพใหญ่อย่างคาบเกี่ยวกัน เช่น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งรับผิดชอบ พรบ.วัตถุอันตรายแต่เรื่องเดียวกันนี้ไปโยงกับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจของกระทรวงพาณิชย์เป็นต้น
หมายเหตุ : ติดตามความเคลื่อนไหวของระเบียบ REACH และผลกระทบได้ที่ http//:www.chemtrack.org/REACH WATCH