สนับสนุนโดย    
สนับสนุนโดย    
   
สนับสนุนโดย    
บอกข่าวเล่าความ

ควันธูปร้ายแรงเทียบเท่าบุหรี่ ชักนำไปสู่โรคสู่มะเร็ง

ผู้เขียน: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
วันที่: 30 ก.ค. 2551

            ควันธูป...สัญลักษณ์แห่งศรัทธา ที่อบอวลอยู่ในศาสนสถานมาช้านาน มีสารเหนี่ยวนำทำให้เกิดมะเร็งถึง 3 ชนิด โดยในสถานที่จุดธูป มีสารก่อมะเร็งสูงกว่าที่ไม่จุดถึง 63 เท่า ระบุความรุนแรงของธูป 1 ดอกเทียบเท่าบุหรี่ 1 มวน และหากจุดในบ้าน 3 ดอก โดยไม่ระบายอากาศ จะก่อมลพิษเทียบเท่าสี่แยกที่มีการจราจรพลุกพล่าน พร้อมเสนอโครงการ "จุดแล้วรีบดับ"
       
            นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าแผนกไอซียูโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้เปิดเผยเรื่องดังกล่าวระหว่างการเสนอผลวิจัยเรื่อง "สารก่อมะเร็ง : ภัยเงียบที่มากับควันธูป" ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ณ อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (โยธี) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
       
            นายแพทย์มนูญ เผยถึงงานวิจัยชิ้นนี้ ที่ร่วมกับ ดร. พนิดา นวสัมฤทธิ์ นักวิจัยสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงร่วมวิจัยด้วยว่า ควันธูปมีสารก่อมะเร็งถึง 3 ชนิดคือ เบนซีน บิวทาไดอีน และเบนโซเอไพรีน ซึ่งเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งปอดได้
       
            ทั้งนี้ งานวิจัยได้ศึกษาในบริเวณที่มีการจุดธูป ในวัด 3 แห่งที่จังหวัดอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ โดยเมื่อตรวจเลือดและปัสสาวะ ของกลุ่มคนทำงานในวัด ที่ได้รับควันธูป และกลุ่มที่ไม่ได้รับควันธูป พบกรดมิวโคนิค กรดโมโนไฮดรอกซี-บิวท์นิล เมอร์แคปทูลิค (Monohydroxyldroxyl-butenyl mercaptulic: MHBMA) และไฮดรอกซีไพรีน ซึ่งเป็นสารที่บ่งชี้ว่าร่างกายได้รับสารก่อมะเร็งทั้ง 3 ในกลุ่มคนทำงานที่ได้รับควันธูป
       
            และเมื่อเปรียบเทียบสารเบนโซเอไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่มีศักยภาพก่อมะเร็งสูงสุด ในสถานที่จุดธูปและไม่จุดธูป พบว่าในวัดที่จุดธูป มีสารดังกล่าวสูงกว่าสถานที่ไม่จุดธูปถึง 63 เท่า
       
            "นอกจากนี้การติดตาม ดูการเปลี่ยนแปลงของสารพันธุกรรมยังพบว่า สารพันธุกรรมในร่างกายของคนทำงานที่ไม่ได้รับควันธูป มีการแตกหัก แต่สามารถซ่อมแซมได้ตามปกติ ขณะที่คนทำงานซึ่งได้รับควันธูปเป็นประจำนั้น พบการแตกหักของสารพันธุกรรมเพิ่มขึ้น และมีการซ่อมแซมลดลง ซึ่งระยะเริ่มต้นของการเป็นมะเร็งคือ การแตกหักของสารพันธุกรรมและไม่สามารถซ่อมแซมได้ จนสุดท้ายสารพันธุกรรมจะกลายเป็นเซลล์ใหม่ และมีการแบ่งตัวถาวรแล้วเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด" นายแพทย์มนูญ เผยข้อมูล
       
            อย่างไรก็ดี นายแพทย์มนูญ กล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่ามีผู้ป่วยโรคมะเร็งเนื่องจากควันธูป แต่มีหลักฐานจากงานวิจัยว่า ควันธูปมีสารชักนำให้เกิดโรคมะเร็ง และงานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าควันธูป 1 ดอก มีปริมาณสารก่อมะเร็ง ไม่ต่างจากบุหรี่ 1 มวน เลยทีเดียว และหากจุดธูป 3 ดอกภายในบ้านที่ไม่เปิดให้อากาศระบายจะเทียบเท่ากับมลพิษทางอากาศในสี่แยกที่มีการจราจรพลุกพล่าน
       
            "นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยโรคมะเร็งซึ่งไม่สูบบุหรี่และไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ จึงน่าจะมีสาเหตุอื่นที่ก่อให้เกิดมะเร็งและคาดว่าควันธูปน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ระยะเวลาที่จะส่งผลให้เป็นมะเร็งนั้นต้องสะสมเป็นสิบๆ ปี เช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการสะสม" นายแพทย์มนูญ กล่าว
       
            ถึงแม้จะพบว่าควันธูปมีอันตราย แต่คงไม่ง่ายนักที่จะเลิกวัฒนธรรมการจุดธูป โดยนายแพทย์มนูญ ระบุว่า การจุดธูปมีจุดเริ่มต้นจากอียิปต์ที่สักการะเทพเจ้าด้วยควันกลิ่นหอมและปัจจุบันกว่าครึ่งโลกก็ยังยึดถือวัฒนธรรมนี้อยู่ โดยเอาควันหอมเป็นเครื่องสักการะ และเครื่องมือสื่อสารกับสิ่งที่สักการะ
       
            อีกทั้งเพื่อคำนึงถึงผู้ประกอบการด้วย นายแพทย์มนูญจึงมีแนวคิดในการทำโครงการ "จุดแล้วรีบดับ" โดยเสนอว่าผู้ที่จุดธูปอธิษฐานเมื่อขอพรเสร็จแล้ว ก็รีบดับด้วยวิธีจุ่มน้ำหรือทราย ทั้งนี้คนที่จุดธูปจะได้มีส่วนช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อม และลดสารพิษ ในการก่อมะเร็งด้วย
       
            "ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มโครงการ แต่จะเข้าไปพบพระ เพราะพระจะได้รับผลกระทบมาก โดยที่จะเข้าไปคุยกับพระที่วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษกก่อน" นายแพทย์มนูญเผย
       
            ทั้งนี้ โครงการที่ริเริ่มไว้จะมีคำขวัญคือ "ดับควันธูป ลดคาร์บอน หย่อนควันพิษ ทอนฤทธิ์มะเร็ง" และอนาคตจะขอให้ผู้ประกอบการผลิตธูปชนิดใหม่ ที่มีเนื้อบริเวณปลายธูปเท่านั้นเพื่อลดปริมาณควันธูป


ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ประจำวันที่ 30 กรกฎาคม 2551

  สารเคมีที่เกี่ยวข้อง:
Benzene
 
  ข้อคิดเห็น
   

ขอเชิญร่วมแสดงข้อคิดเห็น