นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้กทม.เตรียมมาตรการลงโทษเจ้าของกิจการ ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ที่ติดตั้งให้บริการในจุดต่างๆทั่วกทม. เช่น บริเวณหอพัก คอนโด ที่อยู่อาศัยในแหล่งชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากและเป็นที่นิยมเพราะราคาถูกกว่าซื้อน้ำขวดดื่ม อีกทั้งมีการโฆษณาชวนเชื่อว่า เป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีกรองเป็นน้ำสะอาดถูกหลักอนามัยสามารถดื่มได้นั้น ในเรื่องนี้กทม.มีความเป็นห่วงผู้บริโภคจะดื่มน้ำที่ไม่สะอาดถูกหลักอนามัยจริงอย่างที่มีการโฆษณาไว้ และหากเป็นจริงจะถือเป็นการค้ากำไรเกินควรในการนำน้ำประปาจำหน่ายราคาสูง ทั้งนี้กทม.จะร่วมกับสำนักอนามัยทำการสำรวจตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ตามพื้นที่เขตต่างๆเพื่อนำน้ำมาตรวจสอบหาสารปนเปื้อน หากพบว่าไม่สะอาดเข้าข่ายหลอกลวง และผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคและการจำหน่ายอาหาร ก็จะดำเนินคดีกับเจ้าของกิจการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ผลิตน้ำดื่มที่ผิดกฎหมายต่อไป
แหล่งข่าวจากกทม.รายงานว่า ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่มีอยู่มากในกทม.นั้น แต่ละตู้ต่างโฆษณาว่าสะอาดปลอดภัยผ่านการกรองที่ได้มาตรฐานทั้งนั้น แต่จะเชื่อได้อย่างไรว่าสะอาดปลอดภัยจริง เพราะแผ่นกรองนั้นมีราคาแพงมากและมีอายุการใช้งาน ซึ่งเจ้าของตู้ได้เปลี่ยนแผ่นกรองตามอายุการใช้งานหรือไม่ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนก็เท่ากับผู้บริโภคจะได้ดื่มน้ำประปาธรรมดาเท่านั้นแม้ว่าการประปานครหลวงจะการันตีว่าน้ำประปาสามารถดื่มได้แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าการขนส่งกว่าจะมาถึงบ้านนั้นจะยังคงสะอาดดื่มได้อยู่ ฉะนั้นทางที่ดีแนะว่าควรจะต้มน้ำดื่มเองที่บ้านก็ได้โดยต้มให้น้ำเดือด 10 - 15 นาที ก็จะสะอาดดื่มได้แล้ว อีกทั้งไม่ต้องเสียเงินซื้อน้ำดื่มราคาแพงด้วย
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าน้ำดื่มหยอดเหรียญทุกตู้จะไม่สะอาดถ้าจะให้แน่ใจว่าสะอาดควรมีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบแต่ละตู้นำน้ำไปเพาะเชื้อหาสารปนเปื้อน น้ำดื่มที่สะอาดสามารถดื่มได้จะต้องใสสะอาดไม่มีเชื้อโรคเจือปน พร้อมทั้งติดป้ายการันตีว่าตู้นี้ได้มาตรฐานจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้ อย่างไรก็ดีการที่จะออกตรวจตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญให้ครบทุกตู้นั้นเป็นเรื่องยากต้องใช้เจ้าหน้าที่จำนวนมากอาจตรวจสอบได้ไม่ทั่วถึง จึงอยากขอร้องผู้ประกอบการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญต่างๆ ได้คำนึงถึงผู้บริโภคบ้างขอให้ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ อย่าเห็นแต่ประโยชน์รายได้ส่วนตัวจนละเลยเรื่องความสะอาดปลอดภัย ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันก็จะไม่มีใครเดือดร้อน
ที่มาของข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า ประจำวันที่ 16 มกราคม 2551 |