นักวิทยาศาสตร์ที่สังเกตการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศของนานาชาติทั่วโลก รายงานว่า ความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจในเอเชียที่มีจีนเป็นแกนนำ ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศของโลกเพิ่มขึ้นทะลุจุดสูงสุด
นายคิม ฮอลเมน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนอร์วีเจียน โพลาร์ กล่าวว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเดือนนี้ ทะลุจุดสูงสุดที่ทำเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว นายฮอลเมน อ้างรายงานจากสถานีตรวจสอบของนอร์เวย์ที่ขั้วโลกเหนือพบว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกปล่อยสู่บรรยากาศในขณะนี้อยู่ที่ 394 ส่วนต่อล้าน เพิ่มจากเดิม 1.5 ส่วนต่อล้าน อันเป็นผลมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มาจากฟอสซิล ซึ่งส่วนใหญ่ใช้อยู่ตามโรงงานไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ แม้จะมีความพยายามของประชาคมโลกที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศให้น้อยลงกว่าเดิมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
นายโฮลเมน กล่าวอีกว่า ระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปีนี้ จะยังคงเพิ่มต่อไปโดยในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ สาเหตุใหญ่ก็คือการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างฉุดไม่อยู่ของยักษ์ใหญ่ในทวีปเอเชีย คือ จีนและอินเดีย รวมกับความล้มเหลวในด้านการเสริมสมรรถภาพทางด้านอุตสาหกรรมในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้น ยังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าความสามารถของมหาสมุทรต่าง ๆ ที่จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่คณะทำงานด้านสภาพอากาศของโลกของสหประชาชาติ กล่าวว่า ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศขณะนี้สูงกว่าเมื่อ 650,000 ปีก่อน และส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ถึงกว่า 90% ที่น่าสังเกตอีกประการคือ สถาบันวิจัยของนอร์เวย์ได้รายงานว่า มีการตรวจพบสารปรอทที่เป็นตัวการทำลายสภาพแวดล้อมที่สำคัญอยู่ในแถบขั้วโลกใต้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะห่างไกลจากศูนย์กลางอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ มาก ทั้งนี้สารปรอทได้ทำลายสภาพแวดล้อมในขั้วโลกเหนือมาเป็นเวลานานแล้ว
ที่มาของข้อมูล : ทีมข่าว INN News ประจำวันที่ 20 มกราคม 2551 |