เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ Love Canal ซึ่งอยู่แถวไนแอกะรา (Niagara) มลรัฐนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา มีความเป็นมายาวนานที่เป็นประเด็นสิ่งแวดล้อม กรณีแรกที่ดังไปทั่วโลกชื่อ Love มาจากชื่อของ William T. Love ซึ่งเป็นผู้ทำให้มีการขุดคลองเชื่อมแม่น้ำ 2 ระดับ หวังจะผลิตไฟฟ้าย่อยๆ ให้กับชุมชนแม่แบบ แต่โครงการพับไปเพราะเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทน คลองจึงถูกทิ้งกลายเป็นลำน้ำให้เด็กๆ มาเล่นน้ำ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 พื้นที่นี้ได้ถูกใช้เป็นพื้นที่ทิ้งขยะชุมชน ต่อมาปี ค.ศ. 1942 บริษัท Hooker Chemical ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่นี้ฝังกลบของเสียจากอุตสาหกรรม โดยมีการสูบน้ำออก และปูชั้นดินเหนียวโดยรอบเพื่อกั้นการรั่วซึม โรงงานนี้ผลิตผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น สี ตัวทำละลายสำหรับยางและเรซินสังเคราะห์ จึงมีของเสียพวกด่าง กรดไขมัน และ Chlorinated hydrocarbon เก็บในถังแกลอน 55 ใบ รวมประมาณ 21,000 ตัน นำไปฝังกลบในระดับความลึกประมาณ 20 - 25 ฟุต ต่อมาคณะกรรมการโรงเรียน Niagara Fall ได้ขอซื้อที่ดินจากบริษัท ซึ่งได้รับแจ้งถึงความเสี่ยงต่อการฝังกลบแล้ว และได้ปฏิเสธการขอซื้อในครั้งแรก แต่ในที่สุดก็ขายให้ด้วยราคา 1 เหรียญ การก่อสร้างอาคารเรียนเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1955 และรับนักเรียนเข้าเรียน 400 คน เนื่องจากเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ประวัติความเป็นมาของพื้นที่นี้ก็ถูกลืมเลือนไป เทศบาลก็มีโครงการพัฒนาพื้นที่ใช้ประโยชน์ มีการสร้างทางด่วนยกระดับระหว่างการก่อสร้างต่างๆ ก็มีสัญญานอันตรายเกิดขึ้นเป็นระยะๆ เช่น เริ่มเห็นของเหลวสีคล้ำๆ หรือน้ำมันไหลออกมาที่ชั้นใต้ดินบ้าง ในสนามบ้าง เด็กนักเรียนก็เริ่มแสดงอาการด้านสุขภาพ เช่น ชัก หอบ แม้แต่พืชแถวนั้นก็ตาย ปลูกไม่ขึ้น ความผิดปกติเหล่านี้ยังหาสาเหตุไม่ได้
ในปี ค.ศ. 1976 เรื่องราวถูกเปิดโปงโดยนักข่าวจาก Niagara Gazette ได้มีการนำตัวอย่างน้ำไปตรวจ และมีการติดตามข้อมูลสุขภาพของชุมชน สังเกตได้จากการแท้งลูก หรือคลอดลูกพิการ บทความที่ออกมาในปี ค.ศ. 1978 ชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์นี้คือระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดรัฐบาลได้เข้ามาตรวจสอบ แก้ปัญหา มีการย้าย 800 ครอบครัวออกจากพื้นที่ กระทั่งประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ ได้ประกาศเป็นเหตุฉุกเฉินระดับชาติ เป็นครั้งแรกที่อนุมัติให้ใช้กองทุนฉุกเฉินในเหตุการณ์ที่ไม่ใช่อุบัติภัยทางธรรมชาติ เข้ามาเยียวยาต่อผู้เสียหาย บริษัท Hooker Chemical ซึ่งเปลี่ยนไปเป็นบริษัท Occidental Petroleum ก็ยังไม่พ้นความรับผิดชอบ ถูกองค์การสิ่งแวดล้อม EPA ฟ้องในปี ค.ศ. 1995 ให้ชดใช้เป็นมูลค่า 129 ล้านเหรียญ |