อุบัติภัยจากสารเคมีเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าภายใน 3-4 เดือน ที่ผู้เขียนติดตามข่าวในสื่อต่างๆ ก็มีไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งควบคู่กับข่าวดังของมาบตาพุด ดูเหมือนว่ามีเหตุเกิดบ่อยมากขึ้น หรือว่าเป็นเพราะกระแสมาบตาพุดทำให้เป็นข่าวมากขึ้น จึงทำให้มีรายงานเผยแพร่ อีกเหตุหนึ่งที่ละเลยเสียไม่ได้ก็คือ การใช้งานของโรงงานและเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ กำลังหมดอายุและกำลังเป็นระเบิดเวลาตามมาถี่ๆ ล่าสุดรายงานข่าวเหตุการณ์ 2 วันซ้อนในโรงงานเดียวกัน คือ ที่โรงงานผลิตเครื่องประดับเพชรพลอยของ บริษัทแมริกอท จิวเวอรี่ (ประเทศไทย) ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ถนนสายเอเชีย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2553 เป็นเหตุให้พนักงาน 300 คนถูกนำส่งโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการผิดปกติ ช็อค หมดสติ ร่างกายเกร็งและกระตุก อุตสาหกรรมจังหวัดระบุว่า สาเหตุมาจากประกายไฟในการอ็อกเชื่อมไปถูกท่อในระบบบำบัดมลพิษของโรงงาน จนเกิดการรั่วไหลของสารที่อยู่ในท่อบำบัด หลังจากโรงงานเปิดสายพานการผลิตอีกครั้งประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เกิดสารเคมีรั่วอีกในวันที่ 16 กรกฎาคม ทำให้พนักงานกว่า 50 คน ช็อค หมดสติ คล้ายเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานยืนยันว่าเหตุเกิดไม่เกี่ยวกับเรื่องอุบัติเหตุและอันตรายเนื่องจากการทำงานแต่อย่างใด เป็นเพียงการซ่อมท่อพีวีซีเท่านั้น ณ ปัจจุบัน (17 กรกฎาคม 2553 ) ได้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 1 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบอยู่
บทความนี้ต้องการวิเคราะห์เหตุการณ์เท่าที่ผู้เขียนได้รับข้อมูลผ่านสื่อ บางส่วนเป็นข้อเท็จจริง บางส่วนเป็นข้อสันนิษฐานจากข้อมูลเท่าที่มี จึงมิได้มุ่งหาความผิดของใคร การค้นหาความจริงจะเป็นการให้ความรู้ วิธีคิดวิธีตั้งคำถามต่อสังคมและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอในการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดมากขึ้น ลำดับของการตั้งประเด็นจะเป็นไปตามลำดับจากต้นหรือถึงปลายทางใช้ความรู้อะไรได้บ้างระหว่างทาง
ประเด็นแรก เป็นประเด็นซ้ำๆจากเหตุเกิดที่ไม่สามารถบอกชื่อสารที่เป็นต้นเหตุหรือสารที่เกี่ยวข้องได้ ทำให้การแก้ปัญหาไม่ทันกาลหรือไม่เหมาะสม การป้องกันก็ไม่รู้ว่าจะป้องกันอะไร กรณีนี้อาจจะบอกว่าไม่ได้เกิดจากสารเคมีที่ใช้โดยตรง แต่ต้องรู้ว่าสิ่งที่มากระทบคนจนเกิดอาการต่างๆ นั้นคืออะไร โรงงานคงจะมีรายชื่อหรือสารบบสารเคมี (Chemical inventory) เพื่อให้รู้ว่าคนงานและผู้อาศัยอยู่รอบโรงงานต้องเสี่ยงกับสารใดหรือไม่ มิฉะนั้นทุกครั้งที่เกิดเหตุก็จะมีการมอบหมายสั่งการเป็นครั้งๆ เช่น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานกับการนิคมอุตสาหกรรมฯ และผู้ประกอบการในพื้นที่ เพื่อให้แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมีที่อยู่ในความครอบครองให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ดังเช่นครั้งที่สารบิวทีนรั่วไหลจากเรือขนถ่ายสินค้าบริเวณท่าเรืองมาบตามพุดตามที่กระทรวงสาธารณสุขร้องเรียนต่อคณะรัฐมนตรี (8 ธันวาคม 2552)
ประเด็นที่สอง ในกระบวนการผลิตของโรงงานประเภทนี้น่าจะมีทั้งการชุบ การพ่น การประกอบ ฯลฯ ความรู้พื้นๆเกี่ยวกับกระบวนการเหล่านี้ ก็พอจะคาดการณ์ได้ว่ามีสารเคมีอะไรเกี่ยวข้องอยู่ในขั้นตอนใดบ้าง เพราะเป็นกระบวนการทั่วไปที่ไม่ใช่ความลับ เช่น การชุบทองและเงิน จะมีการใช้สารไซยาไนด์ที่อยู่ในรูปกรดหรือด่าง การชุบนิกเกลหรือโครเมียมอาจจะไม่มีการใช้ไซยาไนด์ แต่ในกระบวนการเคลื่อบนิกเกลบนผิวเหล็ก และในการกัดโลหะอาจมีการใช้กรดไนตริก ซึ่งให้ควันไอของออกไซด์ของไนโตรเจนเป็นต้น โรงงานน่าจะรู้ดีถึงรายละเอียดเหล่านี้ ตามรายงานข่าวโรงงานนี้ไม่อยู่ในกลุ่มโรงงานใช้สารเคมีอันตราย
ประเด็นที่สาม การเกิดประกายไฟจนท่อพีวีซีไหม้ คงจะเป็นลูกไฟมากกว่าประกายไฟที่จะทำให้วัสดุพีวีซีหลอมหรือลุกไหม้ไฟ ที่สำคัญกว่านั้นคือคำถามว่าเป็นท่อลำเลียงอะไร เดินผ่านอะไรมาบ้าง เมื่อท่อไหม้หรือรั่ว ให้อะไรออกมาบ้าง ข่าวระบุว่าเป็นท่อที่ระบายมลพิษออกไปบำบัดหรือทำให้เจือจาง (Exhaust pipe) จึงเป็นข้อสังเกตว่า หากเป็นท่อที่ทำหน้าที่ดังกล่าว การระบายมลพิษออกจากปล่องนั้น มีข้อกำหนดของกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่า ต้องรายงานผลการตรวจวัดปริมาณสิ่งที่ออกมาจากปล่องหรือท่อตามระยะเวลาที่กำหนด ท่อแบบนี้จึงไม่น่าจะเดินผ่านห้องต่างๆที่มีคนทำงานอยู่ หรือถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องมีการห่อหุ้มเพื่อป้องกันการรั่วไหลไว้
ประเด็นที่สี่ ระหว่างการซ่อมบำรุงใดๆ ต้องไม่ข้ามขั้นตอนหรือลดหย่อนมาตรการความปลอดภัย เช่น ต้องมีการปิดกั้นบริเวณไม่ให้ส่งผลกระทบใดๆ บางกรณีอาจดำเนินการตามปกติต่อไปได้ ประเด็นนี้ทำให้นึกถึงการซ่อมบำรุง หรือการตกแต่งภายในสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากโรงงานด้วย เช่นตามศูนย์การค้า มีข้อน่าเป็นห่วงว่าประกายไฟกับสารไวไฟอย่างทินเนอร์มักจะอยู่งานเดียวกัน คำถามก็คือได้มีการเฝ้าระวังและป้องกันได้ดีเพียงใด
ประเด็นที่ห้า ใครคือผู้สั่งการปฏิบัติการเหตุฉุกเฉิน ตามกฎหมายผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ตัดสินใจสั่งการตามแผนป้องกันอุบัติภัย เจ้าของโรงงานมีสิทธิที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คนข้างนอกเข้าไปในโรงงานได้ โรงงานที่อยู่ในนิคมก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามอำนาจหน้าที่ของการนิคมอุตสาหกรรมฯ ซึ่งควรจะรู้ว่าในพื้นที่นิคมมีความเสี่ยงต่ออุบัติภัยเคมีอย่างไร และควรจัดการอย่างไร
ประเด็นที่หก การตรวจสอบหลังเกิดเหตุที่ต้องทำทันที กับทำเมื่อเวลาผ่านไปแล้วย่อมให้ผลต่างกัน เช่น การรั่วไหลเมื่อเวลาผ่านไป สารเคมีหรือมลพิษก็จะกระจายจางไปทำให้ค่าที่วัดได้ไม่สูงเท่าตอนที่รั่วออกมา ไฟไหม้จากท่อพีวีซีน่าจะให้ไอของกรดไฮโดรคลอริกปนออกมากับไฮโดรคาร์บอนธรรมดาที่ตรวจพบ การตรวจวัดทางเคมีต้องทำเป็นการเฉพาะเจาะจงว่าจะตรวจหาอะไร จึงจะพบหรือไม่พบสารตัวนั้น
ประเด็นที่เจ็ด การให้ข่าวจากโรงงานและหน่วยงานต่างๆ ชี้ไปในทางที่บอกว่าไม่เกี่ยวกับสารเคมี แต่เกี่ยวกับท่อพีวีซี โรงงานก็ไม่อยู่ในกลุ่มที่ใช้สารเคมีอันตราย ควันไฟที่พบก็เป็นไฮโดรคาร์บอน เหตุที่เกิดไม่เกี่ยวกับอุบัติเหตุและอันตรายเนื่องจากการทำงานแต่อย่างใด คนงานที่เกี่ยวกับการทำงานนี้ก็คือคนงานที่มาต่อเติมอาคารเท่านั้น คล้ายๆ กับจะบอกว่าคนอื่นๆ ที่เจ็บป่วยจากเหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยวกับอันตรายเนื่องจากการทำงาน
ทั้งหมดนี้นำไปสู่การรู้ข้อเท็จจริงได้ต้องอยู่บนพื้นฐานตั้งแต่ประเด็นแรก คือ ต้องรู้ว่าโรงงานใช้สารอะไร มลพิษอะไรที่ออกมาจากท่อหรือปล่อง ศูนย์ความเป็นเลิศแห่งชาติด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและของเสียอันตราย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนจาก สกว. ได้มีงานวิจัยด้านความปลอดภัยของสารเคมี และพยายามชี้ประเด็นสำคัญมาโดยตลอดว่า โรงงานต้องจัดทำสารบบสารเคมี (Chemical inventory) ในโรงงานว่าใช้สารอะไรที่เป็นอันตราย และไม่ใช่ความลับทางการผลิตหรือการค้า จากสารบบดังกล่าวจึงจะสามารถทำให้เห็นภาพของการกระจายของสารเคมีในพื้นที่ต่างๆ (Hazard map) ซึ่ง สกว.ได้เริ่มไว้แล้วเป็นตัวอย่างอย่างเป็นรูปธรรม (http://www.chemtrack.org/HazMap.asp) จากนั้นการป้องกันภัยและการโต้ตอบเหตุฉุกเฉินจึงจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ไม่ใช่การโต้ตอบเหตุฉุกเฉินแบบทั่วไป แต่เป็นภัยจากสารเคมีโดยเฉพาะ หากโรงงานมีความสัมพันธ์ที่ดีกับป้องกันภัยจังหวัด (ปภ.) ก็จะร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที ดีกว่าการมีทำทีแบบไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เวลาเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้
ด้วยเครื่องมือทางกฎหมายที่มีอยู่รวมทั้งสิทธิการรับรู้ด้วย ปัญหานี้น่าจะแก้ได้ตรงจุด คือ การทำให้จังหวัด โดยเฉพาะที่มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากจัดทำแผนที่การกระจายสารเคมี และทุกโรงงานจัดทำสารบบสารเคมี ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย เช่นนี้แผนป้องกันและโต้ตอบเหตุฉุกเฉินจะเป็นแผนจริง ที่แตกต่างจากแผนอุบัติภัยอื่นๆ หากสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้แม้แต่ที่ระยอง การทำรายงานประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) ก็จะทำได้ยาก ความไว้วางใจที่จะอยู่ร่วมกันของภาคอุตสาหกรรมกับภาคประชาชน ก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังการพัฒนาอุตสาหกรรมไม่ว่าในพื้นที่ใดของประเทศ |