ผู้ประกอบการไทยที่ส่งสินค้าไปขายในสหภาพยุโรปหรือ EU คุ้นเคยกับระเบียบมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัย ที่เริ่มมีการออกบังคับใช้เป็นระยะๆ ตามกลุ่มสินค้า ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 2002 มีระเบียบการจัดการซากยานยนต์ (End of Life Vehicle) เพื่อกำหนดสัดส่วนของการนำกลับมาใช้ การรีไซเคิล และเรียกคืนซาก ต่อมาปี ค.ศ.2005 มีระเบียบว่าด้วยเศษซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่รู้จักกันในชื่อระเบียบ WEEE ( Waste from Electrical and Electronic Equipment) ควบคู่กับระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารอันตรายบางชนิดในเครื่องไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือ RoHs (Restriction of Use of Certain Hazardous Substances) และระเบียบที่เกี่ยวกับการออกแบบเชิงนิเวศเศรษฐกิจกับสินค้าทุกชนิดที่ใช้พลังงาน สำหรับระเบียบ REACH (Registration, Evaluation, Authorization of Chemicals) ที่เพิ่งออกบังคับใช้เมื่อ 1 มิถุนายน 2550 นับเป็นนวัตกรรมด้านระเบียบที่เกิดจากการนำสาระสำคัญของกฎหมายที่บังคับใช้อยู่เดิมกว่า 40 ฉบับมาปรับปรุง โดยไม่ให้มีความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกับกฎหมายควบคุมสารเคมีอื่นๆ อีกหลายฉบับที่ยังบังคับใช้อยู่ วัตถุประสงค์หลักของกฎหมาย REACH ก็เพื่อคุ้มครองสุขอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดจากความเสี่ยงต่ออันตรายจากสารเคมี และเพื่อดำรงส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเคมีของสหภาพยุโรป ความชาญฉลาดของระบบ REACH คือ การผลักภาระความรับผิดชอบหลักไปสู่ผู้ประกอบการในการจัดการความเสี่ยง ทั้งผู้ผลิตและผู้นำเข้าสารเคมีไปในสหภาพยุโรป ต้องให้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับความเสี่ยงเพื่อการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย ในขณะที่ร่างกฎหมายก็ได้มีการออกแบบระบบและเส้นทางเดินของเรื่องต่างๆ ไว้แล้วว่า ผู้ประกอบการต้องทำอะไร อย่างไร เมื่อไร บทบาทของใครอยู่ตรงไหน โดยมีการเปิดโอกาสให้มีการจดทะเบียนสารเคมีล่วงหน้าได้ในช่วงระหว่าง 1 มิถุนายน 2550 ถึง 1 ธันวาคม 2551 หากพ้นกำหนดไปแล้ว ถ้าไม่มีข้อมูลสารเคมีหรือแจ้งจดไว้ก็จะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยหากผู้ประกอบการไทยอยู่ในส่วนหนึ่งส่วนใดของสายโซ่อุปทาน
นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2003 ที่มีการแจ้งจาก สุภัฒ สงวนดีกุล อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) ขณะนั้นว่า REACH กำลังจะกลายเป็นกฎหมายที่มีผลให้ผู้ประกอบการไทยที่ส่งสินค้าเข้าไปขายในสหภาพยุโรปต้องปรับตัวครั้งใหญ่ทีเดียว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ก็ได้สนับสนุนนักวิจัยกลุ่มหนึ่งจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมวิทยาศาสตร์บริการ เฝ้าติดตามทำความเข้าใจกับระเบียบนี้และเผยแพร่เพื่อสร้างความตระหนักให้แก่ผู้ประกอบการ ( http://www.chemtrack.org/reachwatch/ หรือ http://siweb.dss.go.th/reach/) สนับสนุนให้สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยและสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอศึกษาผลกระทบกับกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้สัมผัสและมองเห็นสถานการณ์และบรรยากาศที่เปลี่ยนไปดังนี้ ในช่วง 3-4 ปีก่อนเป็นการยากที่จะสื่อสารทำความเข้าใจเพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องหันมาเริ่มคิดเริ่มทำ แต่ด้วยความซับซ้อนและต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคประกอบ ทำให้ผู้ประกอบการเชื่อหรือถูกทำให้เชื่อว่าระเบียบนี้ไม่เกี่ยวกับตนเพราะตนไม่ได้ผลิตหรือขายสารเคมี และที่ได้ยินบ่อยๆ แม้แต่จากคนที่มาจากสหภาพยุโรปเองก็บอกว่าไม่น่าจะกระทบไทย เพราะระเบียบนี้ใช้บังคับกับประเทศสมาชิกเท่านั้น แต่เขาลืมพูดต่อว่าถ้าคุณค้าขายกับสหภาพยุโรป และใช้สารเคมีที่อยู่ในข่ายของ REACH ซึ่งอาจต้องแจ้ง หรือต้องเตรียมข้อมูลที่ต้องใช้เป็นใบเบิกทางสู่ตลาดสหภาพยุโรปไว้ ยิ่งกว่านั้นความซับซ้อนและข้อกำหนดมากมายก็ทำให้ผู้ประกอบการเข้าไม่ถึง อีกทั้งยังกำหนดให้การขึ้นทะเบียนสารเคมีต้องทำผ่านตัวแทนหรือ Only Representative เรียกย่อๆ ว่า OR ซึ่งต้องมีถิ่นพำนักในสหภาพยุโรปเท่านั้น แล้วเขาก็ลืมบอกเราเหมือนอย่างที่เขาพูดกันในสหภาพยุโรปว่า REACH หมายถึง No Data No Market
ดังนั้นสภาพและบรรยากาศ ณ ตอนนี้จึงถือว่าหมดช่วงเวลาสร้างความตระหนักรู้ไปแล้ว ประเด็นร้อนคือ เราจะจดทะเบียนล่วงหน้าสารเคมีได้อย่างไรถ้าเรายังไม่รู้ว่าใช้อะไรอยู่ ซื้อมาจากไหน มีข้อมูลที่จำเป็นหรือยัง ที่สำคัญคืออยู่ในเงื่อนไขใดของ REACH หรือไม่ เมื่อ 3 ปีก่อนเขาบอกว่าเราไม่น่าจะเกี่ยวเพราะไม่ใช่ประเทศภาคีสมาชิก แต่ ณ วันนี้ ธุรกิจใหม่กำลังเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษา สำนักกฎหมายหรือ OR ผู้ที่จะทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนสารเคมีที่เดินกันขวักไขว่มากขึ้นในเมืองไทยล้วนเป็นชาวต่างประเทศทั้งสิ้น จากการติดตามทางเว็บไซด์พบว่าแต่ละแห่ง บริษัท “OR” เกิดขึ้นนับร้อย มีอัตราค่าบริการหลากหลายชนิดที่ผู้ประกอบการรายย่อยไม่สามารถทำได้ เช่น ค่าดำเนินการในการจดทะเบียนต่อสาร 1 ตัวอยู่ระหว่าง 150-300 เหรียญยูโร นอกจากนี้ยังจะมีธุรกิจขายและแลกเปลี่ยนข้อมูล ธุรกิจด้านห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบ และอาจถึงขั้นธุรกิจพัฒนาโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการจัดการอะไรบางอย่าง ซึ่งล้วนหมายถึงการเพิ่มค่าใช้จ่ายในโครงสร้างต้นทุนทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่ REACH บอกว่าช่วงการจดทะเบียนล่วงหน้านี้ไม่มีค่าธรรมเนียม แต่ไม่ได้บอกต่อไปว่าก่อนหน้านั้นต้องไปช่วยตัวเองจ่ายค่าจ้าง OR หรืออื่นๆ ปัญหาของเราไม่ได้อยู่ที่ “เขาบอกว่า” เท่านั้นแต่เราไม่คิดต่อและมองให้เชื่อมโยงจนครบวงจร เพื่อวางตำแหน่งของตัวเองให้ถูกต้อง
จากข้อมูลที่ได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา 1-2 ปี ผู้ประกอบการรายใหญ่เริ่มเข้าใจและเห็นปัญหาแล้ว มีการตั้งหน่วย REACH ขึ้นภายใน มีการมองหาวิธีการหรือหา OR มาช่วย บริษัทที่เป็นเครือข่ายกับต่างประเทศมักจะเตรียมความพร้อมไปได้ก่อนแล้ว ผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับทราบจากการสัมมนาเริ่มขยับตามคำแนะนำ หลายรายเพิ่งจะเริ่มรู้ว่าที่มีการขอข้อมูลจากลูกค้านั้นคงจะเกี่ยวกับ REACH ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ได้มีการรวมกลุ่มผู้ประกอบการ เพื่อเริ่มดำเนินการจดทะเบียนสารชนิดเดียวกันเพื่อลดค่าใช้จ่าย เมื่อเข้าไปในกลุ่มจะสามารถทราบว่ามีใครจดทะเบียนสารตัวเดียวกันบ้างในสหภาพยุโรป จะได้มีโอกาสเข้าไปต่อรองการใช้ข้อมูลและค่าใช้จ่ายด้วย จะเห็นได้ว่าการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องอาศัยผู้ชำนาญการจากหลายด้านทำงานเป็นทีม มีทั้งนักเคมี นักพิษวิทยา นักพิษนิเวศ นักเทคโนโลยีสารสนเทศ นักกฎหมาย นักเจรจา นักการตลาด ฯลฯ สำคัญที่สุดคือผู้ตัดสินใจเชิงนโยบายของธุรกิจนั้นๆ
อย่างไรก็ดีเราต้องยอมรับว่าสหภาพยุโรปได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยออกเป็นกฎหมายหลายฉบับที่มีหลักการที่ดีชนิดเทียบไม่ได้ และใช้กฎหมายเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรม ตัวอย่างเช่น กรณีระเบียบ RoHs ที่จำกัดการใช้สารอันตรายไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ บัดนี้เครื่องไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายก็สามารถงดการใช้สารอันตรายดังกล่าวได้แล้ว ดังนั้นหากเรามองว่า REACH คือโอกาส ผู้ประกอบการไทยจะรวมตัวกันเพื่อสร้างอำนาจต่อรองได้อย่างไร การปรับตัวภายในเองก็จะทำให้ธุรกิจไม่สะดุด และถ้าสามารถยกระดับมาตรฐานของซัพพลายเชนได้ ก็จะคงความอยู่รอดของ SME ไปด้วยได้ ผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในสายโซ่อุปทานนั้น เป็นไปได้ว่าผู้ผลิตสารเคมีรายใหญ่ทั้งในกลุ่มและนอกกลุ่มสหภาพยุโรปจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และต้องผลักภาระให้ผู้ผลิตสินค้า ซึ่งหมายถึงผู้ประกอบการไทยรวมอยู่ด้วย ผู้ผลิตสารเคมีรายเล็กอาจผันตัวไปเป็นผู้นำเข้าสารเคมีจากผู้ผลิตรายใหญ่ เพราะไม่สามารถรับภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นไปได้ มีแนวโน้มที่จะนำสารเคมีที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาดมากขึ้น ผลต่อผู้ประกอบการไทย คือ การหาซื้อสารเคมีที่เคยใช้อาจต้องปรับเปลี่ยนจากเดิม และอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตด้วยเมื่อสารที่ใช้เปลี่ยนไป ผู้ผลิตสินค้าส่งสหภาพยุโรปจะมีผลกระทบสูงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสัดส่วนต้นทุนสารเคมีในต้นทุนการผลิตทั้งหมด ขณะที่ภาระอื่นจะกระทบมากเนื่องจากขาดการเตรียมการด้านองค์ความรู้ด้านการจัดการ ด้านการทดสอบและวิจัย รวมถึงด้านการจดทะเบียนสารเคมีล่วงหน้า และการยื่นขอจดทะเบียนสารเคมีในสินค้า
หลักการของ REACH ได้ผลักภาระให้ผู้ประกอบการที่ผลิตสารเคมีต้องดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ภาครัฐของญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ เชื่อว่า REACH มีอิทธิพลและส่งผลต่อระบบควบคุมสารเคมีของเอเชียแน่ๆ จึงได้มีการขยับตัวปรับปรุงข้อกำหนดและมาตรการภายในของตนไปแล้ว ภาครัฐของไทยก็สามารถใช้ REACH เป็นโอกาสมาสังคายนาระเบียบมาตรการการจัดการสารเคมีและของเสียอันตรายในบ้านเรา โดยใช้หลักการหรือปรัชญาเดียวกัน แผนการจัดการสารเคมีจึงมิได้มีเฉพาะส่วนของความปลอดภัยเท่านั้น ยังกินความไปถึงความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทยในตลาดยุโรปด้วย |