ศาลปกครองระยองพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศท้องที่มาบตาพุด และพื้นที่ใกล้เคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษภายใน 60 วัน ทางด้านเอกชนหวั่นกระทบการลงทุนในระยะยาว ขณะที่เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เตรียมหารือฟ้องอาญาและแพ่งกับบอร์ดสิ่งแวดล้อมชุดเดิม
เมื่อเวลา 11:00 น. วันนี้ (3 มีนาคม 2552) คณะตุลาการศาลปกครองระยอง อ่านคำพิพากษาคดีที่นายเจริญ เดชคุ้ม พร้อมชาวบ้านเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด จ.ระยอง รวม 27 คน ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฐานละเลยไม่ประกาศให้พื้นที่ตำบลมาบตาพุด และเทศบาลเมืองมาบตาพุด ตลอดจนพื้นที่ข้างเคียงที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ซึ่งศาลพิเคราะห์ตามหลักฐานเอกสารการรายงานของกรมควบคุมมลพิษในการประชุมของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 11/2548 และเอกสารทางวิชาการอีกหลายรายการ ล้วนระบุว่า ปัญหามลพิษในท้องที่มาบตาพุดกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน ศาลจึงรับฟังว่าเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด เป็นพื้นที่มีปัญหามลพิษ มีแนวโน้มร้ายแรงถึงขนาดเป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน หรือก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงสมควรที่ผู้ถูกฟ้องคดีจะประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุม ลด ขจัดมลพิษ ซึ่งเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด ยังครอบคลุมบางตำบลที่อยู่ในเขตอำเภอเมืองระยอง คือ ตำบลเนินพระ ตำบลมาบข่า ตำบลทับมา และที่ผ่านมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ได้ประกาศกำหนดเขตควบคุมมลพิษไปแล้ว 17 พื้นที่ ใน 12 จังหวัด แต่ไม่เคยประกาศให้ส่วนหนึ่งส่วนใดเพียงบางส่วนของอำเภอหรือตำบลเป็นเขตควบคุมมลพิษ จึงสมควรให้ส่วนที่เหลือของตำบลที่อยู่ในเขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด เป็นเขตควบคุมมลพิษด้วย
นอกจากนี้ ยังมีนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย ตั้งอยู่ในตำบลบ้านฉาง อ.บ้านฉาง พบว่าคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งที่สถานีหาดพยูน มีแบคทีเรียและเหล็กมีค่าเกินมาตรฐาน ศาลจึงมีคำพิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีประกาศให้ท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดทั้งหมด รวมทั้งตำบลเนินพระ ตำบลมาบข่า และตำบลทับมา อ.เมือง ตลอดจนตำบลบ้านฉาง ทั้งตำบล เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพื่อดำเนินการควบคุม ลด ขจัดมลพิษ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 60 วัน นับตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษา
เอกชนหวั่นกระทบลงทุนระยะยาว
นายศุภชัย วัฒนางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า เมื่อศาลตัดสินออกมาให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ ผลกระทบต่อการลงทุนระยะสั้นคงไม่มี เพราะโครงการใหม่ชะลอไปตามภาวะเศรษฐกิจ และโครงการที่อยู่ระหว่างการลงทุนก็คงต้องดำเนินการต่อไป เพราะได้ผ่านความเห็นชอบจากอีไอเอแล้ว
สิ่งที่เป็นห่วงคือการลงทุนในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการขยายกำลังการผลิตหรือโครงการลงทุนใหม่ เพราะหากมีการใช้คำสั่งศาลฯเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาจะทำให้การลงทุนใหม่ในไทยเกิดขึ้นได้ยาก ดังนั้นภาครัฐควรต้องเข้ามามีบทบาทในการวางกรอบหลักเกณฑ์การพิจารณาให้อีไอเอชัดเจน นอกจากนี้ คำสั่งศาลฯดังกล่าวอาจกระทบต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากระยองเป็นจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญ
อย่างไรก็ตาม การประกาศเขตควบคุมจะกระทบต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ซึ่งขณะนี้เองประเทศเพื่อนบ้านของไทยพยายามดึงอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไปลงทุนยังประเทศของตน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่อาจจะต้องชะลอออกไป หรือย้ายฐานไปลงทุนในประเทศอื่นแทน ดังนั้นทางส.อ.ท.จะมีการประชุมสมาชิกในเร็วๆนี้เพื่อหารือในเรื่องดังกล่าวรวมทั้งเตรียมชี้แจงข้อมูลให้นักลงทุนต่างชาติเกี่ยวกับการประกาศดังกล่าวให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าไม่ได้ส่งผลเลวร้ายแต่อย่างใด
ยันเอกชนเข้มงวดสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรม โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด(มหาชน) โรงงานตั้งอยู่ที่มาบตาพุด จ.ระยอง กล่าวว่า กำลังศึกษาคำตัดสินของศาลฯที่ออกมาว่าจะมีผลกระทบต่อการอย่างไรบ้าง และต้องดูในเรื่องของกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม แต่ก่อนหน้านี้ การลงทุนโครงการใหม่ๆ ในเขตมาบตาพุดต้องลดมลพิษในเขตดังกล่าวให้ได้ก่อนจึงจะลงทุนได้ หากลดมลพิษได้ 100% จะสามารถลงทุนได้เพียง 80% โครงการที่จะลงทุนต้องผ่านแผนการรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ด้วย ที่ผ่านมากลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ๆ ได้ลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก เพื่อปฏิบัติกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนเรื่องของการอุทธรณ์คงเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการพิจารณา
แหล่งข่าวระดับสูงจากบมจ.ปตท.เคมิคอล กล่าวว่า การประกาศให้มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษจะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการต่างๆของบริษัทในมาบตาพุด เนื่องจากได้ปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว และที่ผ่านมา บริษัทฯได้มีการลงทุนโครงการใหม่ๆซึ่งทยอยแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ ส่วนโครงการลงทุนใหม่ๆนั้น บริษัทไม่ได้มองการลงทุนเฉพาะในไทยแต่มองไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย เนื่องจากเข้าใจดีกว่าการลงทุนในไทยนับจากนี้ไปจะทำได้ยากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องมลภาวะ
เครือข่ายฯ เตรียมฟ้องอาญาและแพ่ง
นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก เผยภายหลังร่วมรับฟังคำพิพากษาของศาลปกครองระยอง ร่วมกับชาวบ้านประมาณ 100 คน ว่า ศาลปกครองระยองมีคำพิพากษาตัดสินให้ประกาศเขตพื้นที่เทศบาลมาบตาพุดทั้งเทศบาลเป็นเขตควบคุมมลพิษ รวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ ต.ทับมา ต.เนินพระ ต.มาบข่า อ.เมือง และ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นพื้นที่เขตควบคุมมลพิษด้วย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการประกาศเขตภายใน 60 วัน หลังจากมีคำสั่งศาลปกครอง
นายสุทธิ กล่าวว่า นอกจากนี้กำลังหารือกับนักกฎหมายว่าจะสามารถฟ้องร้องทางอาญาและทางแพ่งกับบอร์ดสิ่งแวดล้อมชุดเดิมด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การที่ชาวบ้านชนะคดีครั้งนี้ ถือเป็นแค่ก้าวแรกของความสำเร็จ และต่อไปเครือข่ายภาคประชาชนจะเดินหน้าเรื่องการปฏิบัติตามแผนลดและขจัดมลพิษ และจะขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมทบทวนแผนขยายปิโตรเคมีเฟส 3 และกิจกรรมการพัฒนาในพื้นที่ว่าทำให้เกิดมลพิษเพิ่มหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาชาวระยองและชุมชนใกล้เคียงต้องแบกรับภาวะสุขภาพ การเจ็บป่วยมานานกว่า 20ปี
ที่มาของข้อมูล : สำนักข่าวไทย ประจำวันที่ 3 มีนาคม 2552 |